ผู้นำโลกไว้อาลัย – รอยเตอร์ รายงานวันที่ 22 เม.ย. ถึงความคืบหน้าหลัง สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก สิ้นพระชนม์แล้วด้วยพระชนมายุ 88 พรรษา เมื่อวันที่ 21 เม.ย. สำนักวาติกันออกแถลงการณ์ว่าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสสิ้นพระชนม์ด้วยโรคหลอดเลือดสมองและภาวะหัวใจล้มเหลวซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้
นายแพทย์อันเดรีย อาร์คานเจลี แพทย์ประจำวาติกัน เปิดเผยในใบมรณบัตรว่าสมเด็จพระสันตะปาปาทรงอยู่ในพระอาการโคม่าก่อนสิ้นพระชนม์เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น
นอกจากนี้สำนักวาติกันยังระบุด้วยว่าสมเด็จพระสันตะปาปาทรงยืนยันในพินัยกรรมว่า พระองค์ประสงค์จะฝังพระศพในมหาวิหารซันตามาเรียมัจโจเรในกรุงโรม ไม่ใช่ที่มหาวิหารนักบุญเปโตรหรือมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในนครวาติกัน ต่างจากสมเด็จพระสันตะปาปาหลายพระองค์ก่อนหน้านี้
พระองค์ทรงย้ำว่าให้ฝังพระศพ “ลงใต้พื้นดินโดยไม่มีการตกแต่งพิเศษใดๆ” แต่ให้มีจารึกพระนามของพระองค์ในฐานะสมเด็จพระสันตะปาปาเป็นภาษาละตินว่า “ฟรานซิสคัส” (Franciscus)
ภาพประกอบ – FILE – Pope Francis, left, is flanked by Cardinal Kevin Farrell during a vigil at Campo San Juan Pablo II in Panama City, Jan. 26, 2019. (AP Photo/Alessandra Tarantino, File )
ขณะเดียวกันผู้นำนานาประเทศออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจและไว้อาลัยต่อการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส สำหรับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีรายงานว่าจะเดินทางไปร่วมพระราชพิธีศพ ระบุว่า
“ทรงเป็นคนดี ทำงานหนัก รักโลก และถือเป็นเกียรติที่ได้ทำเช่นนั้น” นายทรัมป์กล่าวพร้อมมีคำสั่งให้ลดธงชาติครึ่งเสาทั่วประเทศเพื่อเป็นเกียรติแด่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
นายกรัฐมนตรีจอร์จา เมโลนี ผู้นำหญิงแห่งอิตาลี กล่าวว่ารู้สึกโศกเศร้ากับการจากไปของ “บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เลี้ยงแกะผู้ยิ่งใหญ่ ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รู้จักมิตรภาพ คำแนะนำ และคำสอนของพระองค์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง แม้ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมาน” ซึ่งวลีที่ว่าเป็นผู้เลี้ยงแกนั้นในพันธสัญญาเดิมพระเจ้าในคริสต์ศาสนาถูกเปรียบเปรยดังผู้เลี้ยงแกะ ทรงปกป้องดูแลฝูงแกะดังบิดาปกป้องบุตร
ขณะที่ ประธานาธิบดีฆาบิเอร์ มิเลย์ แห่งอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส โพสต์ข้อความว่า “ผมรู้สึกเศร้าโศกอย่างยิ่งเมื่อทราบข่าวในเช้าอันน่าเศร้านี้ว่าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ฆอร์เก เบร์โกกลิโอ สิ้นพระชนม์แล้วในวันนี้ และขณะนี้ทรงพักผ่อนอย่างสงบ” ก่อนเสริมว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รู้จักพระองค์
ผู้นำโลกไว้อาลัย – The U.S. flag is flown at half-staff at the White House in Washington in honor of Pope Francis, Monday, April 21, 2025. Pope Francis has died at age 88. The Washington Monument is left. (AP Photo/Jacquelyn Martin)
นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่าพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเป็นเสียงที่ทรงคุณค่าสำหรับสันติภาพ ศักดิ์ศรีของมนุษย์ และความยุติธรรมทางสังคม พระองค์ทรงทิ้งมรดกแห่งความศรัทธาและความเมตตากรุณาไว้ให้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่หลงเหลืออยู่ในขอบเขตของชีวิตหรือติดอยู่กับความน่ากลัวของความขัดแย้ง
พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเข้าใจว่าการปกป้องส่วนรวมเป็นภารกิจทางศีลธรรมที่สำคัญ เป็นความรับผิดชอบของทุกคน และทรงมีส่วนสนับสนุนสำคัญในการระดมพลทั่วโลกที่นำไปสู่ข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ด้าน สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 กษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร ตรัสว่าพระองค์จะทรงได้รับการจดจำถึงความเมตตากรุณา ความห่วงใยต่อคริสตจักร และความมุ่งมั่นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของพระองค์ที่มีต่อจุดมุ่งหมายร่วมกันของผู้ศรัทธาทุกคนและผู้มีความปรารถนาดีซึ่งทำงานเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น
สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลอฮ์ที่ 2 กษัตริย์แห่งจอร์แดน ตรัสแสดงความเสียพระทัยอย่างสุดซึ้งต่อพี่น้องคริสเตียนทั่วโลก ทุกคนต่างยกย่องพระสันตะปาปาฟรานซิสในฐานะพระสันตปาปาแห่งประชาชน พระองค์ทรงนำพาผู้คนมารวมกัน ทรงเป็นผู้นำด้วยความเมตตา ความอ่อนน้อม และความเห็นอกเห็นใจ การกระทำและคำสอนอันดีงามของพระองค์จะคงอยู่ต่อไป
ผู้นำโลกไว้อาลัย – A photo of the late Pope Francis is projected onto the Obelisk in Buenos Aires, Argentina, Monday, April 21, 2025. (AP Photo/Gustavo Garello)
นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมที แห่งอินเดีย กล่าวว่า “พระสันตะปาปาฟรานซิสจะถูกจดจำตลอดไปในฐานะประภาคารแห่งความเมตตา ความถ่อมตน และความกล้าหาญทางจิตวิญญาณของผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก พระองค์ทรงทำหน้าที่รับใช้คนยากจนและผู้ถูกกดขี่ด้วยความขยันขันแข็ง สำหรับผู้ที่ทุกข์ยากพระองค์ทรงจุดประกายความหวังให้”
“ผมจำการพบปะกับพระองค์ได้อย่างซาบซึ้งใจและรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งกับความมุ่งมั่นของพระองค์ในการพัฒนาที่ครอบคลุมรอบด้าน ความรักที่พระองค์มีต่อชาวอินเดียจะอยู่ในความทรงจำตลอดไป”
ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มากอส จูเนียร์ แห่งฟิลิปปินส์ ระบุว่าตนรักและเคารพสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส “พระองค์ทรงเป็นผู้นำที่มีศรัทธาอันลึกซึ้งและถ่อมตน ไม่เพียงแต่ด้วยพระปรีชาสามารถเท่านั้น แต่ยังมีพระทัยที่เปิดกว้างต่อทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากจนและผู้ที่ถูกลืม”
ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กล่าวในข้อความถึงพระคาร์ดินัลเควิน ฟาร์เรล ว่าตลอดหลายปีของการดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสันตะปาปา พระองค์ทรงส่งเสริมการพัฒนาการสนทนาระหว่างคริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซียและคริสตจักรโรมันคาทอลิกอย่างแข็งขันเช่นเดียวกับความร่วมมือเชิงสร้างสรรค์ระหว่างรัสเซียกับนครรัฐวาติกัน
Faithful hold candles during a Mass honoring the late Pope Francis under a highway bridge in the Carlos Mugica neighborhood of Buenos Aires, Argentina, Monday, April 21, 2025. (AP Photo/Rodrigo Abd)
ด้าน ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน โพสต์ข้อความว่า “พระองค์ทรงรู้วิธีที่จะมอบความหวัง บรรเทาความทุกข์ทรมานผ่านการสวดภาวนา และส่งเสริมความสามัคคี พระองค์สวดภาวนาเพื่อสันติภาพในยูเครนและเพื่อชาวยูเครน เราขอแสดงความเสียใจร่วมกับชาวคาทอลิกและคริสเตียนทุกคนที่มองหาการสนับสนุนทางจิตวิญญาณจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส”
ส่วน ประธานาธิบดีไอแซก เฮอร์ซ็อก ของอิสราเอล กล่าวว่าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงมีความศรัทธาอันลึกซึ้งและความเมตตากรุณาอันไร้ขอบเขต พระองค์ทรงอุทิศชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนยากจนและเรียกร้องสันติภาพในโลกที่กำลังประสบปัญหา ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคำอธิษฐานของพระองค์เพื่อสันติภาพในตะวันออกกลางและเพื่อให้ตัวประกันกลับคืนสู่ฉนวนกาซ่าอย่างปลอดภัยจะได้รับคำตอบในเร็วๆ นี้
ประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน แห่งอิหร่าน ระบุว่า “พระสันตปาปาฟรานซิสอุทิศชีวิตของพระองค์เพื่อเผยแผ่คำสอนของพระคริสต์ ทรงพยายามอย่างมีประสิทธิผลและยั่งยืนในทิศทางนี้ จุดเด่นประการหนึ่งในชีวิตและความเป็นผู้นำของพระองค์คือจุดยืนด้านมนุษยธรรมต่อพฤติกรรมที่ไร้มนุษยธรรมในโลก โดยเฉพาะการกระทำของอิสราเอลในฉนวนกาซ่า”
ประธานาธิบดีเรเจป ไตย์ยิป เอร์โดอัน แห่งตุรกี โพสต์ว่า “พระสันตปาปาฟรานซิสทรงเป็นผู้นำที่ได้รับการเคารพนับถือ ทรงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่ทรงเห็นคุณค่าของการเจรจาระหว่างกลุ่มศาสนาที่แตกต่างกัน และทรงริเริ่มในการเผชิญกับโศกนาฏกรรมด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะปัญหาปาเลสไตน์และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซ่า”