โอกาสนี้มีไม่บ่อย กับการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร จ.นครพนม
ในส่วนของกระทรวงคมนาคม นำโดยเจ้ากระทรวง “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยนักการเมืองเจ้าของพื้นที่ “มนพร เจริญศรี” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดนครพนม พร้อมกับมีการประชุมร่วมภาครัฐ-เอกชน ผนึกกำลังลุยทุกโปรเจ็กต์โครงสร้างพื้นฐาน แปลงเมืองหน้าด่านริมฝั่งโขงมุ่งยกระดับภาคคมนาคม และเสริมแกร่งเศรษฐกิจภาคอีสาน รวมทั้งประสานความร่วมมือ สปป.ลาว ร่วมสร้างโอกาสให้ประชาชน
โดย “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่า คณะรัฐมนตรีกำหนดจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2568 ณ จังหวัดนครพนม พร้อมทั้งได้ลงพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ที่ประกอบด้วย 3 จังหวัด (สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร) เพื่อติดตามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมขนส่ง
ทั้งนี้ ได้รับทราบข้อมูลโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 223 ตอนอำเภอนาแก-บ้านต้อง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ของกรมทางหลวง (ทล.) ซึ่งออกแบบเป็นทางหลวงในแนวตะวันตก-ตะวันออก เชื่อมต่อจังหวัดสกลนคร-จังหวัดนครพนม และสามารถเชื่อมต่อไปยังสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) และแห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน)
ความคืบหน้าขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง จึงได้มอบหมายให้กรมทางหลวงเร่งดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาและเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้โดยเร็ว รวมทั้งกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด ให้สามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2570
สำหรับโครงการก่อสร้างถนนเลียบแม่น้ำโขงนาคาวิถี ช่วงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว (แห่งที่ 2)-พระธาตุพนม ของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ซึ่งเป็นการยกระดับถนนเพื่อการท่องเที่ยวและเส้นทางชมวิวทิวทัศน์เลียบริมฝั่งแม่น้ำโขงนั้น
ได้มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบทกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด สามารถเปิดให้บริการในปี 2570 กรณีประสบปัญหาในการดำเนินการ ให้เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนเพื่อสร้างความเข้าใจและร่วมกันแก้ไขปัญหา ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินโครงการ
ในส่วนของโครงการก่อสร้างรถไฟสายใหม่ บ้านไผ่-นครพนม ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพการขนส่งทางรางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้มอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เร่งรัดจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและส่งมอบพื้นที่โดยเร็ว รวมทั้งกำกับดูแลการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผน เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการในปี 2570
“การพัฒนาข้างต้นจะเป็นเส้นทางสายเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ที่สามารถเชื่อมโยงไปยัง สปป.ลาว ประเทศเวียดนาม และภาคใต้ของประเทศจีน ที่ไม่เพียงแต่สนองนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ยังส่งเสริมการเป็นประตูการค้าสู่อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ที่จะช่วยพัฒนาพื้นที่ในทุกมิติ สร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างโอกาส เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน”
นอกจากนี้ ได้ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาจังหวัดภาคอีสานตอนบน 3 จังหวัด (สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร) ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และภาคเอกชน เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะต่าง ๆ และแนวทางการดำเนินงานจากทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมในจังหวัดนครพนมและพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีความสมบูรณ์ เชื่อมโยงเส้นทางการค้าระหว่างไทยและ สปป.ลาว
สำหรับโครงการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข 12 (R12) ช่วงเมืองท่าแขก-จุดผ่านแดนนาเพ้า สปป.ลาว (โครงการ R12) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว แล้วนั้น ได้ขอความร่วมมือให้ สปป.ลาวใช้ผู้รับเหมาไทย เพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่องและรวดเร็ว ซึ่งโครงการดังกล่าวเมื่อเสร็จสิ้นแล้วจะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศอย่างมาก
นอกจากนี้ ได้ขอความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ ในการหารือกับ สปป.ลาว เพื่อหาแนวทางในการสร้างโอกาสให้กับประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะภาคคมนาคมทางอากาศ ซึ่งจะสนับสนุนให้มีสายการบินราคาประหยัด (Low Cost) ร่วมเสริมสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยจะใช้ประโยชน์พื้นที่สนามบินสะหวันนะเขต เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้ง 2 ประเทศต่อไป
“กระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เดินหน้าพัฒนาการคมนาคมให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อส่งเสริมการเดินทางและการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น และเมื่อโครงการต่าง ๆ แล้วเสร็จจะสร้างประโยชน์สำคัญต่อประชาชนในพื้นที่ ช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระยะยาว
ทั้งการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและการค้า ช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมจากภาคอีสานไปยังประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงสนับสนุนการท่องเที่ยวในจังหวัดนครพนมและพื้นที่ใกล้เคียง และยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน เพิ่มโอกาสการจ้างงานในภาคโลจิสติกส์ การค้าชายแดน และการพัฒนาพื้นที่จังหวัดนครพนม และภาคอีสานอย่างยั่งยืน” นายสุริยะกล่าว