FPT มาตรการภาษีสหรัฐป่วน สร้างความไม่แน่นอนสูง ขณะที่บริษัทยังเดินหน้าแผนขยายการลงทุน 3 ประเทศ วางเป้าดันอัตราการเช่าพื้นที่โรงงานแตะ 90% จาก 3.78 ล้าน ตร.ม. ชูจุดแข็งมีโรงงานสำเร็จรูป รับดีมานด์นักลงทุนไม่กล้าเสี่ยงซื้อที่ดิน พร้อมเปิดขายที่ดิน–สินทรัพย์เข้ากอง REIT เสริมสภาพคล่อง คาดปีนี้รายได้โต 19% กำไรทุบสถิติสูงสุดต่อเนื่องอีกปี
วันที่ 14 พ.ค. 2568 นายพีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT เปิดเผยว่าท่ามกลางความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีตอบโต้ ของสหรัฐ แต่บริษัทยังเชื่อว่าในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่่่เช่ารวม 3.77 ล้านตร.ม. กระจายทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นและข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับผู้เล่นรายอื่นในตลาด ไม่ว่าลูกค้าจะย้ายฐานการผลิตมาที่ไทย หรือต้องการขยายการลงทุนต่อเนื่องไปยังอินโดนีเซียหรือเวียดนาม
อีกทั้งบริษัทตั้งเป้าอัตราการเช่าในสภาวะปกติเฉลี่ยที่ 80% แต่อัตราการเช่าในปัจจุบันสามารถทำได้เกือบแตะที่ 85% ซึ่งแม้ว่ามีผู้เช่าประมาณ 14% ที่มีความเสี่ยงจากการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ แต่ผู้กลุ่มนี้ยังไม่มีรายใดขอยุติสัญญาเช่าก่อนเวลา อีกทั้งไม่มีผู้เช่ารายใดที่ส่งสัญญานขอผ่อนผันการจ่ายค่าเช่า ทำให้บริษัทตั้งเป้าหมายนอกจากพื้นที่เช่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.78 ล้านตร.ม.แล้ว คาดว่าอัตราการเช่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 90% ด้วย
ในขณะเดียวกันในส่วนของการเจรจาหาผู้เช่ารายใหม่ ก็ยังดำเนินการต่อเนื่อง โดยล่าสุดมี 2 รายใหญ่พื้นที่รวม 1.6 แสนตร.ม. ที่ใกลัจะเจรจาแล้วเสร็จ ขณะที่มีแค่เพียง 10% หรือประมาณ 5,000-6,000 ตร. ซึ่งป็นกลุ่ยานยนต์จากจีน ปัจจุบันขอชะลอดูเพื่อให้มั่นใจมากขึ้นกว่านี้ ส่วนที่เหลือยังเป็นไปตามแผน
“ปัจจัยกำแพงภาษีสหรัฐฯ แม้ทำให้นักลงทุนกลัวความเสี่ยง ไม่กล้าซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงงาน แต่ในมุมกลับกัน ในภาวะที่นักลงทุนกังวลเรื่องความไม่แน่นอนสูง แทนที่จะซื้อที่ดินสร้างโรงงาน ก็หันมาเช่าโรงงานสำเร็จรูป และแนวโน้มจากนี้จะเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการที่บริษัทมีโรงงานสำเร็จรูปให้เช่า ถือเป็นการลดความเสี่ยงให้กับนักลงทุนได้ และกลายเป็นปัจจัยบวกของบริษัท”
โดยแผนการดำเนินงานสำหรับปี 2568 (ต.ค.2567-ก.ย.2568) บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ในส่วนของ 2,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนสร้างโรงงานในไทย และอีก 1,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในเวียดนาม และอินโดนีเซีย ขณะที่ตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้กว่า 4,000 ล้านบาท เติบโต 19% เมื่อเทียบกับปี 2567 ส่วนกำไรสุทธิคาดว่าจะเป็นอีกปีที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์อุตสาหกรรมจะมีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนืองจากปีที่แล้ว
นายพีระพัฒน์ กล่าวด้วยว่าบริษัทยังมีที่ดินรอการพัฒนาอีกราว 5 ล้านตร.ม. ซึ่งล่าสุดบริษัทเปิดกว้างสำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อที่ดินเพื่อนำไปพัฒนาเอง โดยในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทได้ตัดขายได้แล้ว 300 ล้านบาท และคาดว่าจะภายในปีนี้จะขายได้อีกราว 500 ล้านบาท
พร้อมกับเตรียมแผนจะนำสินทรัพย์ประมาณ 1,000 ล้านบาท ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม เฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ (FTREIT) เพื่อนำเงินมาเป็นสภาพคล่องให้กับบริษัท
ขณะเดียวกันในส่วนของการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่เช่า 1.4 แสนตร.ม. อัตราการเช่าเฉลี่ย 86% โดยปัจจุบันบริษัทยังมีที่ดินเหลืออีกราว 1 แสนตร.ม.ที่สามารถพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมกรรมได้ต่อเนื่อง
แต่อย่างไรก็ดีในปีนี้บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาซื้อเพิ่มด้วย เนื่องจากเวียดนามมีจุดเด่น ที่แรงงานยังถูกกว่าไทย และมีทักษะดีขึ้น ทำให้คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ อัตราการเช่าพื้นที่ในเวียดนามจะเต็ม 100%
ในขณะที่อินโดนีเซีย ซึ่งบริษัทมีพื้นที่เช่าท้งหมด 1.5 แสนตร.ม. อัตราการเช่าอยู่ที่ 93% ส่วนใหญ่เป็นคลังสินค้าสำหรับรองรับการผลิตเพื่อการบริโภคในประเทศ โดยในเบื้องต้นบริษัทยังไม่มีการพิจารณาซื้อที่ดินเพิ่ม