หมอชี้เคส ผู้ปกครองถีบเด็ก 6 ขวบ งานวิจัยเผยใช้ความรุนแรง ไม่อาจเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ถูกกระทำในระยะยาว ซ้ำทำได้เพียงการหยุดพฤติกรรมในระยะสั้นเท่านั้น
หมอวิน เพจ เลี้ยงลูกตามใจหมอ โพสต์ถึงกรณีผู้ปกครองนักเรียนถีบเด็ก 6 ขวบ ความว่า ผู้ปกครองหัวร้อนกระโดดถีบเด็กชาย 6 ขวบล้มคะมำบาดเจ็บ ถีบเด็กแล้วได้อะไร …
โบราณกล่าวว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ถ้าลูกโดนต่อยตี ให้กระโดดถีบหัวเพื่อนลูกคนนั้น” … เอิ่ม อันนี้โบราณไม่น่ากล่าวไว้ น่ากลัวมาก
อนึ่ง … เด็กทะเลาะกันคือเรื่องปกติ เด็กบางคนอาจตั้งใจ บางคนอาจไม่ได้ตั้งใจ บ้างเล่นแรงจนชิน คิดว่าการเล่นแรงๆเป็นสิ่งที่ทำได้ เราพบได้บ่อยในบ้านที่พ่อกับลูกเล่นกันแรงมากจนเคยชิน ออกมานอกบ้านก็คือ เล่นแรงกับเด็กคนอื่นเหมือนเล่นกับพ่อที่บ้าน …อันนี้ก็คือ บ่ด้ายยยยยยยย
พ่อแม่ต้องสอน ครูต้องคั้นกลางแล้วสอนการอยู่ร่วมกันกับคนอื่นในสังคม เล่นดีๆ นั้นเล่นอย่างไร พฤติกรรมใดเป็นพฤติกรรมที่ยอมรับไม่ได้บ้าง อันนี้ต้องสอน ต้องเรียนรู้ ต้องฝึกยับยั้งชั่งใจ เล่นกับคนอื่นให้เบาลง เพราะการเล่นที่แรง ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่สนุกด้วย = ทำร้ายร่างกาย
อีกกลุ่มหนึ่ง ก็คือ เด็กที่ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ เวลาถูกขัดใจ เพื่อนเล่นไม่ถูกใจ หรือโดนเพื่อนแหย่ โดนแกล้ง โดนล้อ … เมื่อเกิดเหตุผุ๊บ ของขึ้น กรีดร้องแล้วคุมมือคุมเท้าตัวเองไม่ได้ กระโดดถีบคนอื่น ทำร้ายเพื่อน … อันนี้เป็นปัญหา … ผู้ใหญ่ต้องจัดการอย่างเด็ดขาด หยุดความรุนแรงให้ได้ สอนให้รู้อารมณ์และวิธีการจัดการอารมณ์ที่เหมาะสม … แล้วก็อย่าลืมดูทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ
บางทีผู้รับบทเหยื่อก็คือ ไม่เบา … แหย่เค้า แกล้งเค้า จนเค้าทนไม่ได้ ถีบ-ตบแม่ม … อันนี้ต้องดูให้ดี มีผู้รับบทเหยื่อแต่นางคือ นางร้ายตัวจริง อันนี้ก็มีจริง … รวมถึง บางทีผู้ถูกกระทำก็มีปัจจัยเสี่ยงอยู่หลายอย่างที่ทำให้ถูกแกล้งก็มี ดังนั้นดูเพียงผู้กระทำไม่ได้ ต้องดูผู้ถูกกระทำด้วย
ตัดภาพไปที่ผู้ปกครองที่ลูกโดนทำร้าย แล้วพุ่งเข้าไปกระโดดถีบเด็กอายุ 6 ขวบ . เอ่อ … คือ …. แบบ … อือ … เลือกคำไม่ถูกว่าจะพูดอะไรต่อ ไม่พูดก็แล้วกัน … ให้เป็นคดีความกันตามเหตุและผลของเขาก็แล้วกัน
ภาพรวม กล่าวเช่นนี้ … การทำร้ายใครไม่ว่าจะด้วยวาจาหรือด้วยร่างกาย ตี เตะ โดดถีบ หรือจะท่าไหนก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่มิอาจยอมรับได้ในปัจจุบัน ด้วยสังคม ด้วยความสงบและศีลธรรมจรรยาที่ดีในแบบมนุษย์ผู้ประเสริฐ
ด้วยข้อมูลจากงานวิจัย พบว่าการทำโทษด้วยความรุนแรงมิอาจเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ถูกกระทำในระยะยาว มันทำได้เพียงการหยุดพฤติกรรมในระยะสั้นเท่านั้น … และหากกล่าวแบบตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม … คนมิใช่สัตว์เดียรัจฉาน การเฆี่ยนตีมิใช่สิ่งที่มนุษย์พึงปฏิบัติต่อกัน
การลงโทษด้วยการทำโทษทางร่างกาย (Physical Punishment) รวมถึงทางวาจา … การศึกษามีเป็นหมื่น ๆ ชิ้นว่ารังแต่จะส่งผลเสียให้กับลูกทั้งในระยะสั้นและยาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียน อารมณ์ โรคทางจิตเวช-อารมณ์ และพฤติกรรมชั่วอีกมาก …
แปลง่าย ๆ ว่า ทำชั่ว พ่อแม่ยิ่งตี ลูกอาจยิ่งชั่วกว่าเดิม แถมยิ่งทำให้ลูกรู้สึกไร้ค่า ลดทอนความมั่นใจในตัวเอง ลดทอนคุณค่าของความเป็นคน และปลูกฝังความรุนแรงให้เด็กอีกด้วย …
แน่นอนว่าคนสมัยก่อนเขามีกุศโลบายในการเลี้ยงลูกให้อยู่รอดเสมอมา สมัยที่เรายังเป็นมนุษย์ถ้ำ เราต้องสู้รบกับนักล่าอื่น ๆ ตามธรรมชาติ เสือ สิงห์ กระทิง แรด ช้างป่า และอีกมาก …
ดังนั้นมนุษย์จึงสร้างความเชื่อให้คนเรากลัวความมืด กลัวอะไร ๆ ที่อาจเกิดอันตราย เช่น สอนให้คนเรากลัวความมืด ไม่อาบน้ำตอนกลางคืน เดี๋ยวผีพรายมาเอาตัวไป (ซึ่งสมัยก่อนเราอาบน้ำในคลองไง จมน้ำตายกันไปเท่าไร) ไม่ตัดเล็บตอนกลางคืน (เพราะสมัยก่อนใช้มีดตัด มองไม่ชัด นิ้วหลุดได้ง่าย ๆ) ฯลฯ
ยามที่เราเริ่มสร้างชุมชน สร้างรัฐ สร้างประเทศ ชนชั้นปกครองในอดีตกาลสร้างเครื่องมือที่ชื่อว่า “การลงโทษ” ด้วยความเจ็บปวด ด้วยความตาย เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้คนไม่ทำผิด และสยบอยู่ภายใต้อำนาจตามกลไกของการเมืองการปกครองในอดีต … ควรหรือมิควร คุณคิดว่าเป็นเช่นไร