นับตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมา หุ้นไทยติดลบไปราว 11% แล้ว
ดัชนี SET ร่วงลงมาอยู่โซนต่ำกว่า 1,250 จุด ทั้ง ๆ ที่เมื่อสัก 2 ปีก่อน เรายังพูดกันเรื่องหุ้นไทยติดกับดัก 1,400 จุดอยู่เลย
ดูเหมือนกับดักหุ้นไทย จะลดระดับลงมาเรื่อย ๆ จากที่ไปไม่พ้น 1,400 จุด ลงมาเหลือไม่เกิน 1,300 จุด
และยังมีโอกาสลดลงได้อีก หากยัง “เกาไม่ถูกที่คัน”
ระยะหลังมานี้จะเห็นได้ว่า ในเวลาที่ตลาดหุ้นอื่น ๆ เขาปรับตัวขึ้นกัน แต่หุ้นไทยกลับไปได้ไม่ไกลนัก
แม้เครื่องมือต่าง ๆ จะถูกงัดเอามาใช้แล้วสารพัด ไม่ว่าจะเป็นการปลุกชีพกองทุนวายุภักษ์ การปรับเกณฑ์กองทุน Thai ESG ให้ใกล้เคียง LTF เดิมให้มากที่สุด แต่ก็แค่ช่วยให้ดีขึ้นได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราว
ล่าสุด ก็เตรียมให้โยกกอง LTF มาจัดตั้งเป็นกองทุน Thai ESG ใหม่อีกกอง โดยให้เน้นลงทุนหุ้นไทย จะได้ให้ผลช่วยพยุงหุ้นไทยให้ได้มากที่สุด
เอาจริง ๆ ตลาดหุ้นไทย เผชิญมรสุมมาหนักมากในช่วง 2-3 ปีมานี้
ทั้งจากประเด็นเรื่องเศรษฐกิจภาพใหญ่ที่ไม่ค่อยจะเติบโต เพราะไม่มีเครื่องยนต์อะไรที่จะมาขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตแบบยั่งยืน ซึ่งกระทบชิ่งมาถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (บจ.) ด้วย
โดยที่ผ่านมา มีการพูดถึงการหาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต มากระตุ้นการเติบโต แต่เรื่องนี้ไม่ได้ง่าย และไม่ได้ทำได้ในเวลาอันรวดเร็ว
และที่สำคัญมากอีกเรื่องก็คือ ปัญหาภายในของบริษัทจดทะเบียน ที่ทยอยมีเคสออกมาเรื่อย ๆ เหมือน “ฝีแตก”
คงต้องรีบหาทางรักษา หากจะต้องผ่าตัดก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นจะยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ
เห็นตลาดหลักทรัพย์ฯประกาศแผนระยะต่าง ๆ แล้ว คิดว่าน่าจะยังไม่เพียงพอ เพราะตลาดหุ้นต้องล้อไปกับเศรษฐกิจภาพใหญ่ของประเทศด้วย
ดังนั้น การจะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน คงต้อง “ผ่าตัด” โครงสร้างเศรษฐกิจ มากกว่าจะรักษาเฉพาะจุดไปเรื่อย ๆ