"SCB EIC" มอง กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีกในปีนี้
กนง. มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 6:1 ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 2.0% โดยมีกรรมการ 1 ท่านเห็นว่าควรคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2.25% การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้มาจากการพิจารณาของ กนง. ว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะขยายตัวได้ต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้จากปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะภาคการผลิตที่เผชิญการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ อีกทั้ง ความเสี่ยงด้านต่ำต่อเศรษฐกิจไทยชัดเจนขึ้นหลังสหรัฐฯ ดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าอย่างรวดเร็วและรุนแรง ขณะที่ภาวะการเงินในประเทศยังคงตึงตัว โดยเฉพาะปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs ทั้งนี้ กนง. มองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้จะช่วยให้ภาวะการเงินผ่อนคลายลง และช่วยรองรับความเสี่ยงด้านต่ำในระยะข้างหน้า
สำหรับมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ กนง. เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2024 ออกมาขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ โดยในการประชุมรอบเดือนธันวาคมปีก่อน กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2024 จะขยายตัว 2.7%YOY แต่ตัวเลขจริงออกมาเพียง 2.5%YOY กนง. เห็นว่าการที่เศรษฐกิจไทยปี 2024 ขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้เช่นนี้ มาจากภาคการผลิตที่เผชิญปัญหาความสามารถในการแข่งขัน แม้การบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกสินค้าขยายตัวได้ดี แต่ภาคการผลิตอุตสาหกรรม
กลับไม่ช่วยเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยได้เลย (รูปที่ 1) กนง. ประเมินว่าปัญหานี้จะรุนแรงขึ้นและส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงกว่าที่เคยประเมินไว้ ในการประชุมครั้งนี้จึงได้ปรับลดมุมมองเศรษฐกิจไทยปี 2025 ว่าจะขยายตัวสูงกว่าปีก่อนเพียงเล็กน้อย อีกทั้ง ยังเผชิญกับความเสี่ยงด้านต่ำจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก อย่างไรก็ดี กนง. จะเผยแพร่ประมาณการใหม่ในการประชุมครั้งหน้าเดือนเมษายน
ขณะที่มุมมองต่อเงินเฟ้อและเสถียรภาพระบบการเงิน ยังคงใกล้เคียงการประชุมครั้งก่อน โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ใกล้ขอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ แต่มีความเสี่ยงด้านต่ำจากราคาพลังงาน ด้านภาวการณ์เงินยังคงตึงตัว สินเชื่อ SMEs หดตัวต่อเนื่องตามปัญหาด้านการแข่งขันกับสินค้าต่างประเทศ ส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภคของภาคครัวเรือนหดตัวลงตามความเปราะบางของครัวเรือน
SCB EIC มองว่าการสื่อสารของ กนง. ครั้งนี้ให้น้ำหนักกับพัฒนาการเศรษฐกิจไทยมากขึ้น สะท้อนจากการปรับมุมมองประมาณการเศรษฐกิจไทยลงจากแนวโน้มของภาคการผลิตที่จะเผชิญการแข่งขันรุนแรงขึ้นเป็นหลัก โดยได้คำนึงผลกระทบนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ เฉพาะที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น เช่น การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 10% แต่ยังไม่รวมผลของนโยบายในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นเพิ่มเติม โดย กนง. มองว่านโยบายการค้าสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอน แต่มีความเสี่ยงด้านต่ำต่อเศรษฐกิจไทยชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ดี กนง. ยังคงสื่อสารว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ไม่ใช่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง (Easing Cycle) แต่เป็นการปรับให้อัตราดอกเบี้ยเพื่อให้ภาวะการเงินผ่อนคลายลง สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตต่ำลงจากปัญหาภาคการผลิต กนง. เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2% ยังคงสถานะเป็นกลาง (Neutral) ต่อเศรษฐกิจ กล่าวคือไม่ได้เร่งหรือฉุดรั้งการเติบโต และมองว่านโยบายเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยจะเป็นนโยบายหลักที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตสูงขึ้นได้
SCB EIC มอง กนง. ยังปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีกในปีนี้ จากความตึงตัวต่อเนื่องของภาวะการเงินและผลกระทบของนโยบายการค้าสหรัฐฯ โดย 2 ปัจจัยนี้จะเป็นปัจจัยหลักที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ซึ่งบางส่วน กนง. ยังมองเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ และยังไม่ได้ประเมินไว้ในกรณีฐาน ได้แก่
-ภาวะการเงินจะยังตึงตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญหลังวิกฤติ COVID-19 ซึ่ง SCB EIC มองว่าสถานการณ์สินเชื่อขยายตัวต่ำสุดในรอบหลายปีมานี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่อง และกดดันให้อุปสงค์ในประเทศชะลอลง
-นโยบายกีดกันการค้าสหรัฐฯ ที่ออกมารวดเร็วและรุนแรง โดยประธานาธิบดี Donald Trump เข้ามารับตำแหน่งเพียงเดือนเศษ แต่ได้ประกาศใช้มาตรการหรือขู่ว่าจะออกมาตรการกีดกันทางการค้าเพิ่มเติมจำนวนมาก ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะยิ่งทำให้ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทยที่อ่อนแออยู่ก่อนแล้ว ปรับแย่ลงไปอีก และจะส่งผลต่อเนื่องไปยังการฟื้นตัวของรายได้ภาคครัวเรือนที่เกี่ยวข้อง
ทั้งสองปัจจัยดังกล่าวนี้คาดว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันในระยะข้างหน้า ส่งผลกดดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพอย่างมีนัยสำคัญ SCB EIC มองว่า มีโอกาสที่ กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยอีกในปีนี้ เพื่อช่วยผ่อนคลายภาวะการเงินในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายภายนอกและภายในประเทศอย่างมาก
#SCBEIC #กนง #ลดดอกเบี้ย #ธปท #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์