ดัชนีราคาส่งออก-นำเข้า ม.ค. ขยับตามความต้องการคู่ค้าฟื้นตัวค่อยเป็นค่อยไป
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าของไทย เดือนมกราคม 2568 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ตามความต้องการของประเทศคู่ค้าที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่เข้าสู่วัฏจักรการเปลี่ยนรอบสินค้าใหม่ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความผันผวนของค่าเงินบาท อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางด้านราคาของไทยในระยะข้างหน้า แต่ภาพรวมดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าของไทยปัจจุบันยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ดัชนีราคาส่งออก เดือนมกราคม 2568 เท่ากับ 110.9 เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2567 สูงขึ้นร้อยละ 1.0 (YoY) จากความต้องการของประเทศคู่ค้าที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยทิศทางราคาในหลาย
กลุ่มสินค้ายังคงปรับสูงขึ้น ตามคำสั่งซื้อที่มีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีราคาส่งออกที่ปรับสูงขึ้น ประกอบด้วยหมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง สูงขึ้นร้อยละ 1.4 ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นไปตามทิศทางความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันตลาดโลก หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้นร้อยละ 1.3 ได้แก่
เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ตามการพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่ช่วยสนับสนุนความต้องการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการประมวลผล และจัดเก็บข้อมูล สำหรับทองคำ ราคายังทรงตัวสูง ตามการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปี 2568 เครื่องใช้ไฟฟ้า ตามการขยายตัวของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เพื่อใช้งานร่วมกับระบบ Smart Home และรถยนต์ ตามยอดขายรถยนต์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นในตลาดส่งออกสำคัญของไทย และหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 0.9 ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะอาหารสุนัขและแมว เนื่องจากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงประเภทพรีเมี่ยมในการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ตามความต้องการอาหารสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้น ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวลดลง คือ หมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลงร้อยละ 1.9 เป็นการปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 37 เดือน
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานราคาของเดือนมกราคม 2567 อยู่ในระดับสูง รวมถึงราคาสินค้าเกษตรสำคัญ
บางกลุ่มปรับลดลง ได้แก่ ข้าว เนื่องจากอินเดียยกเลิกมาตรการจำกัดการส่งออกข้าว ประกอบกับเงินรูปีอ่อนค่า
ทำให้ผู้ประกอบการอินเดียส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้น และส่งผลให้อุปทานข้าวโลกขยายตัว และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ตามความต้องการที่ลดลง ประกอบกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจาก สปป.ลาว และกัมพูชา
ดัชนีราคานำเข้า เดือนมกราคม 2568 เท่ากับ 114.4 เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2567 สูงขึ้นร้อยละ 3.6
ปัจจัยหลักเป็นผลจากฐานราคาเดือนมกราคม 2567 ยังอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับความต้องการสินค้านำเข้าขยายตัวในหลายหมวดสินค้า เพื่อรองรับการผลิต การลงทุน และการบริโภคของประเทศ ส่งผลให้ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า ประกอบด้วย
ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวลดลง คือ หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง ลดลงร้อยละ 1.4 ได้แก่ รถยนต์โดยสารและรถบรรทุก และรถยนต์นั่ง ตามความต้องการที่ชะลอลง เนื่องจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ประกอบกับหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงพฤติกรรมการใช้รถยนต์ในประเทศไทยยาวนานขึ้น
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าเดือนกุมภาพันธ์ 2568 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน แม้จะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนจาก
1.ฐานราคาปี 2567 ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2568
2.ความต้องการสินค้าประเภทอาหารยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง 3.สินค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ได้รับอานิสงค์จากการเปลี่ยนรอบการใช้งาน และการขยายตัวของเทคโนโลยี AI 4.ราคาพลังงานและวัตถุดิบมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น
5.การเร่งนำเข้าสินค้าก่อนการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่
1.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าอาจช้ากว่าที่คาด 2.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค 3.ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ
4.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงน้อยกว่าปี 2567 อาจส่งผลให้ผลผลิตสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น จนนำมาสู่ภาวะอุปทานส่วนเกิน
5.การแข่งขันทางด้านราคามีแนวโน้มสูงขึ้น
6.ความผันผวนของค่าเงินบาท