'โฮมโปร' กำไรทะลุ 6.5 พันล้านปี 2567 ฝ่ากำลังซื้อชะลอ
GH News February 27, 2025 02:11 PM

‘โฮมโปร’ ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจที่ท้าทาย ยังคงโชว์ศักยภาพผลการดำเนินงานปี 67 ทำกำไรสุทธิ 6,503.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.96% จากปีก่อน ด้วยกลยุทธ์บริหารต้นทุนและกระตุ้นยอดขายผ่าน Omni-Channel พร้อมลุยขยายสาขาเพิ่ม 9 แห่ง รวมถึงพัฒนา Hybrid Store ผสานโฮมโปร-เมกาโฮมในที่เดียว ขยายศูนย์กระจายสินค้า ต่อยอดแพลตฟอร์มออนไลน์ และเน้นสินค้ารักษ์โลก ตอกย้ำผู้นำค้าปลีกสินค้าบ้านครบวงจร

27 ก.พ. 2568 – นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร (HomePro) เปิดเผยถึงผลประกอบการในปี 2567 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับปี 2567 เท่ากับ 6,503.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.99 ล้านบาท หรือ 0.96% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวมจำนวน   72,576.52 ล้านบาท ลดลง 0.34% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนตัวลงจากภาวะหนี้ครัวเรือนสูง และต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นยังสามารถขยายตัวอยู่ที่ 26.82% เทียบกับ 26.60% ในปีก่อน

สำหรับปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลประกอบการปี 2567 ได้แก่ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ เช่น Easy E-Receipt และโครงการแจกเงิน 10,000 บาท แก่กลุ่มเปราะบาง ส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้นในบางช่วง

กลยุทธ์การตลาดที่เน้นช่องทาง Omni-Channel โดยเพิ่มโปรโมชั่นอย่าง Double Day และ HomePro Super Expo ที่จัดในสาขาทั่วประเทศแทนการจัดงาน HomePro Expo แบบเดิม รวมถึงกิจกรรม HomePro 28th Anniversary 8 WONDERS จัดโปรลดราคาพิเศษตลอด 8 สัปดาห์เต็ม ส่งผลให้ยอดขายสินค้าออนไลน์รวมทุกแพลตฟอร์มมีการเติบโตขึ้น

ยอดขายสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าเติบโตสูง โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศและพัดลมในช่วงฤดูร้อน

ผลกระทบจากน้ำท่วมในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้ยอดขายในบางพื้นที่ลดลงชั่วคราว ก่อนจะมีการฟื้นตัวจากความต้องการซื้อสินค้าทดแทน

ทั้งนี้ โฮมโปร มีกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 18,223.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.89 ล้านบาท หรือ 0.32%  เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขาย เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 26.82% จาก 26.60% ในปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง ทั้งจากธุรกิจโฮมโปรและธุรกิจเมกาโฮม

นายวีรพันธ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2567 โฮมโปรเดินหน้าพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้น การเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างรายได้ ผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและปรับกลยุทธ์ด้านราคา รวมถึงการขยายบริการ Home Service และการพัฒนา Marketplace สำหรับสินค้ากลุ่มเฉพาะ เช่น สินค้าผู้สูงอายุ แม่และเด็ก และอุปกรณ์สำนักงาน นอกจากนี้ บริษัทยังขยายฐานลูกค้า B2B ไปยังโรงแรม ออฟฟิศ และร้านอาหาร ผ่านแพลตฟอร์มเฉพาะทาง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานด้วยการขยายศูนย์กระจายสินค้าและติดตั้งระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและลดต้นทุนในการกระจายสินค้า

โดยโฮมโปรยังให้ความสำคัญกับ ความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผ่านโครงการ Trade-in ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้านำสินค้าเก่าที่ไม่ใช้แล้ว มาแลกรับส่วนลดในการซื้อสินค้าชิ้นใหม่ โดยโฮมโปรจะนำซากเก่าไปจัดการอย่างถูกวิธี เพื่อนำไปพัฒนาเป็นสินค้ารักษ์โลก (Circular Products) เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า กระเบื้อง และถุงช้อปปิ้งที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล บริษัทฯ ยังมีการตั้งศูนย์ซ่อมสินค้าเพื่อลดปริมาณขยะ และนำเสนอสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้แบรนด์ของตนเอง (ECO Choice)

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างจริงจัง โดยติดตั้ง แผงโซลาร์เซลล์ แล้วกว่า 97 สาขา และเตรียมขยายเพิ่มเติม รวมถึงนำ รถ EV มาใช้ในการขนส่งสินค้าเพื่อลดมลพิษ พร้อมเข้าร่วมเป็นสมาชิกโครงการ United Nations Global Compact (UNGC) เป็นปีที่ 3 โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน แรงงาน สิ่งแวดล้อม และต่อต้านการทุจริต โฮมโปรยังตั้งเป้าหมาย Net Zero 2050 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการดำเนินธุรกิจทั้งหมด ตอกย้ำความเป็นผู้นำค้าปลีกที่มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย

นายวีรพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมเรื่องการขยายสาขาว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2567 บริษัทฯ จะมีโฮมโปร 94 สาขา, โฮมโปรเอส 5 สาขา, เมกาโฮม 30 สาขา และโฮมโปรในมาเลเซีย 7 สาขา โดยมีการขยายสาขาใหม่รวมทั้งสิ้น 9 สาขา ในรูปแบบของสาขาโฮมโปร 6 แห่งและเมกาโฮม 3 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เปิดสาขาในรูปแบบไฮบริดสโตร์ (Hybrid Store) เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งเจ้าของบ้านและช่างผู้รับเหมา โดยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่และลดต้นทุนการบริหารจัดการอีก

“บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่น ทุ่มเท รวมถึงความตั้งใจ ของบุคลากรทุกระดับ ตลอดจนการสนับสนุนที่ดีจากผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มเสมอมา บริษัทฯ เชื่อว่าการเติบโตทางธุรกิจที่สร้างคุณค่าให้กับทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นลูกค้า พนักงาน คู่ค้า ผู้ถือหุ้น ตลอดจนชุมชนและสังคม เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่ช่วยผลักดันให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนเช่นกัน” นายวีรพันธ์ กล่าวสรุปในตอนท้าย

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.