'ขุนคลัง' นัดถกแบงก์ชาติ-สภาพัฒน์ เตรียมจัด Master Plant ใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจ
GH News February 27, 2025 06:14 PM

‘ขุนคลัง’ นัดถกแบงก์ชาติ-สภาพัฒน์ เร่งหามาตรการปั้มเศรษฐกิจ หวังดันจีดีพีปี 2568 โตกระฉูด 3.5% เตรียมจัด Master Plant ใหญ่ ปักธงบูมท่องเที่ยว เร่งเพิ่มประสิทธิภาพสินค้าเกษตรให้แข่งขันในตลาดโลกได้

27 ก.พ. 2568 – นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวในการประชุมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ว่า เป็นการหารือเกี่ยวกับมาตรการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2568 ซึ่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีการสั่งการว่าอยากเห็นเป้าหมายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลในเชิงรุก ที่ 3-3.5% ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมาพิจารณาดูว่าจะต้องดำเนินการในเรื่องใดได้บ้างเพื่อสนับสนุนการเติบโตให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้ตามเป้าหมาย

ทั้งนี้ อาจจะต้องมีการจัดทำเป็น Master Plant ใหญ่ว่าจะมีแผนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในส่วนใดบ้าง เพื่อให้ได้ผลที่แท้จริง และเป็นแผนขับเคลื่อนที่สามารถจับต้องได้ โดยเน้นไปที่จุดแข็งของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการผลักดันการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ และถือว่ารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นเครื่องจักรตัวที่ 1 ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยหลังจากนี้อาจจะต้องมาดูว่าจะขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างไรบ้าง เช่น อาจจะต้องมีการขยายการลงทุน การปรับปรุงสนามบินโดยเฉพาะในเมืองรอง หรือมีกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ จุดแข็งของประเทศไทย คือ การเป็นประเทศเกษตรกรรม ซึ่งถือเป็นเครื่องจักรตัวที่ 2 ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมีสินค้าหลักอยู่ 5 ชนิด เช่น ข้าว ซึ่งก่อนหน้านี้ได้หารือกับกระทรวงพาณิชย์ว่าจะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อผลักดันราคาข้าวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนสินค้าชนิดอื่น ๆ อาจจะต้องมาดูในแง่ของการแข่งขันที่อาจจะยังสู้ตลาดโลกไม่ได้ โดยเฉพาะในเชิงต้นทุน และราคาขาย เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจเป็นแรงกดดัน ดังนั้นจึงต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้สินค้าเกษตรของไทย โดยเฉพาะสินค้าหลัก 5 ชนิด สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพที่ดี และการมีราคาที่สามารถแข่งขันและสู้ได้

นายพิชัย กล่าวอีกว่า หากดูย้อนไปในไตรมาส 3-4/2567 มีเม็ดเงินงบประมาณจากภาครัฐเข้าไป ทำให้เศรษฐกิจในไตรมาส 3/2567 ขยายตัวได้ที่ 3% และไตรมาส 4/2567 ขยายตัวได้ 3.2% ส่งผลให้ครึ่งหลังของปี 2567 สามารถขยายตัวได้เฉลี่ย 3.1% ซึ่งหากเข้าใจและสามารถรักษาการเติบโตตรงนี้ไว้ได้ ปรับปรุงส่วนที่ยังขาด รัฐบาลก็ยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลักดันให้เศรษฐกิจไทยปี 2568 โตได้มากกว่า 3% หรือเติบโตได้ตามเป้าหมายเชิงรุกถึง 3-3.5% ซึ่งตรงนี้ต้องทำงานกับหลายส่วน

“ที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาแล้วหลายอย่าง แต่วันนี้การเติบโตมันไม่ขึ้นไปตามที่คิด ก็ต้องมาดูกันว่ายังติดตรงไหน ต้องขับเคลื่อนที่จุดไหน บางทีเราอาจจะเฝ้าที่ปลายเหตุมากเกินไป จึงอาจจะต้องกลับมาดูที่ต้นเหตุว่าตัวไหนที่ใช่ และต้องประคับประคองให้การเติบโตยังเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง จากครึ่งหลังของปี 2567 ที่เศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ยที่ 3.1% ซึ่งส่วนตัวผมตั้งเป้าหมายว่าปีนี้อยากจะให้โตเกิน 3% ขึ้นไป ซึ่งการตั้งเป้าหมายเชิงรุกแบบนี้เพื่อให้ทุกฝ่ายทำงานกันอย่างเต็มที่ ต้องมีเนื้องานออกมา ซึ่งทั้งหมดก็จะมีผลในด้านการอุปโภคบริโภคตามมา ส่วนว่าจะมีมาตรการอะไรออกมาก็ต้องมาคุยกันก่อน” นายพิชัย กล่าว

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.