17 มี.ค.2568-นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “กฎหมายศูนย์กลางการเงินจะทำลายระบบการเงิน” ระบุว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2568 ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. …. อ้างว่า เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก (Financial Hub)
ผมดูรายละเอียดร่างกฎหมายดังกล่าว เกิดข้อสงสัยว่า วัตถุประสงค์ที่แท้จริง น่าจะไม่ใช่เพื่อเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก เพราะระบบยุติข้อพิพาธในธุรกรรมการเงินแบบซับซ้อน ที่จะเกิดขึ้นมากมายในศูนย์กลางทางการเงินของโลก นั้น ระบบของไทย ยังไม่รวดเร็ว ยังไม่สามารถแข่งขันกับศูนย์ที่ใช้กฎหมายอังกฤษ คือ สิงคโปร์และฮ่องกง และไทยยังมีภาพพจน์ดัชนีคอรัปชัน ที่ต่ำกว่าสิงคโปร์และฮ่องกงมากมาย
แต่น่าสงสัยว่า อาจจะเพื่อเป็นศูนย์กลางการฟอกเงิน สอดรับกับร่างกฎหมายกาสิโน หรือไม่? และวัตถุประสงค์ที่แท้จริง น่าจะไม่ใช่เพื่อให้บริษัทการเงินตั้งใหม่ในศูนย์ ทำธุรกิจเงินคริปโท กับบุคคลที่อยู่นอกประเทศ แต่อาจจะเพื่อให้รัฐบาลสามารถออกเงินคริปโท เพื่อยึดระบบการเงินของชาติ โดยสามารถกระโดดข้ามการควบคุมของแบงค์ชาติ หรือไม่?
บัดนี้ มีข่าวเพิ่มเติม ที่แสดงว่าข้อกังวลของผมว่า ร่างกฎหมายนี้ จะเป็นอันตรายต่อระบบการเงินของประเทศ นั้น เป็นเรื่องถูกต้อง
โดยเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2568 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวบนเวทีงาน “MFC’s 50th Anniversary_The World’s Next Opportunities and Beyond เปิดโอกาสลงทุนแห่งอนาคต“ ว่า พรรคเพื่อไทยอยากให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางของบล็อคเชนและคริปโทเคอเรนซี่ จึงจะดำเนินการ 3 เรื่อง คือ (ก) ออกเงินดิจิทัลในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
(ข) จัดทำแซนบ็อกซ์ที่ภูเก็ตเพื่อใช้คริปโตเคอเรนซี่เป็นสกุลเงินในการแลกเปลี่ยน (ค) ออกเงินดิจิทัลแบบสเตเบิ้ลคอยน์ stable coin โดยเตรียมแผนไว้ให้ดำเนินการได้ภายใน 3 เดือน
ผมให้ข้อสังเกตด้วยความเคารพว่า แผนดำเนินการสามเรื่องดังกล่าว ถ้าจะกระทำภายใต้กรอบกฎหมายปัจจุบัน ก็จะต้องผ่านการพิจารณาของแบงก์ชาติ ใน 2 เรื่อง คือ
หนึ่ง ต้องขออนุญาตตามกฎหมายเงินตราผ่านแบงก์ชาติ เพื่อออกเงินดิจิทัลแบบสเตเบิลคอยน์ เพราะมีเนื้อหาทางเศรษฐกิจ เป็นเงินตราอย่างหนึ่ง ซึ่งแบงก์ชาติอาจจะยังไม่อนุญาต เพราะจะไปกระทบการทำงานด้านนโยบายการเงิน หรืออาจจะกำหนดเงื่อนไขเข้มข้น
สอง ต้องขออนุญาตตามกฎหมาย ธปท. ผ่านแบงก์ชาติ เพื่อเชื่อมโยงระบบการโอนเงินดิจิทัล ไปยังระบบการชำระเงินปกติ
ซึ่งแบงก์ชาติอาจจะยังไม่อนุญาต เพราะจะไปสร้างความเสี่ยงแก่ระบบการชำระเงินปกติ จนกว่าจะมีมาตรการทดสอบที่ปลอดภัย แต่รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย กลับยังไม่แถลงว่า รัฐบาลได้มีการปรึกษาหารือกับแบงก์ชาติแล้ว หรือไม่ แต่อย่างใด จึงบ่งชี้ว่า รัฐบาลน่าจะไม่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายปัจจุบัน
การที่ท่านอดีตนายกทักษิณออกมากล่าวเช่นนี้ จึงบ่งชี้ว่า รัฐบาลน่ามุ่งจะผ่านร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. … เพื่อให้รัฐบาลสามารถออกเงินดิจิทัลได้สะดวก โดยจะออกใบอนุญาต ให้บริษัทการเงินรายใหม่ในศูนย์ฯ สามารถทำธุรกิจเงินดิจิทัล ทะลุเข้ามาในตลาดภายในประเทศ และร่างกฎหมายนี้ จะมีการตัดอำนาจของ ธปท./กลต./คปภ. ออกไป โดยจะจัดตั้งเป็นสำนักงานขึ้นมาใหม่ ที่รวบอำนาจการพิจารณาออกใบอนุญาต และการออกกติกากำกับธุรกิจแทนองค์กรเหล่านี้
ผมมีความเห็นว่า การตัดอำนาจของ องค์กรอิสระออกไปเช่นนี้ จะทำลายระบบการเงิน เพราะจะเปิดให้ภาคการเมืองสามารถเพิ่มปริมาณเงินได้เองตามที่ต้องการ ในรูปแบบเงินดิจิทัลที่ไม่ต้องมีทองคำหนุนหลัง ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่น ทั้งในนโยบายการเงิน และในค่าเงินบาท อย่างหนัก สำหรับความมุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของบล็อคเชนและคริปโตเคอเรนซี่นั้น รัฐบาลจะต้องทำเฉพาะในหมู่บุคคลผูัมีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (non- residents) โดยจะต้องไม่ปล่อยให้ลามเข้ามาตลาดในประเทศ ทั้งที่ไม่ได้รับฉันทานุมัติจากแบงก์ชาติเสียก่อน เพราะจะทำให้แบงก์ชาติคุมปริมาณเงินไม่ได้ และจะก่อความเสี่ยงต่อระบบการชำระเงิน อันเป็นกระดูกสันหลังของระบบการเงิน ซึ่งเป็นระบบหลัก ที่รองรับทั้งการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตรา เงินทุนที่ไหลเข้าออกตลาดเงินตลาดทุน และการนำเข้าและส่งออกทั้งสินค้าและบริการ
ทั้งนี้ ผมสนับสนุนแนวคิด ที่จะพัฒนาให้ประเทศไทยเข้าสู่ แต่รัฐบาลสามารถนำเอาเทคโนโลยีบล็อกเชนและเศรษฐกิจดิจิทัล มาใช้ในการบริหารประเทศทั่วไปได้อยู่แล้ว โดยต้องไม่ไปทำลายความน่าเชื่อถือของแบงก์ชาติ และระบบการเงินของประเทศ