Co-payment ระบบการจ่ายเงินแบบร่วมกันจ่าย เป็นระบบที่ถูกนำมาใช้ในวงการประกันภัยและระบบสาธารณสุข เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในด้านของการยริการเรื่องเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพแต่เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะผู้ที่เลือกทำประกันด้านสุขภาพ โดย Co-payment มีเป้าหมายที่จัดเจนนั่นก็คือการลดภาระทางการเงินของผู้ให้บริการและผู้รับบริการนั่นเอง
Co-payment คืออะไร?
Co payment คือ ระบบที่ช่วยจัดการเรื่องของค่าใช้จ่ายกรณีเกี่ยวกับการรัการรักษาทางสุขภาพโดยความสำคัญของ Co-payment ก็คือเข้ามาช่วยในเรื่องของ ช่วยให้ค่าเบี้ยประกันถูกลง
และทำให้มีแผนประกันสุขภาพที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และช่วยให้มีการใช้บริการทางการแพทย์อย่างสมเหตุสมผลดังนั้น ระบบ Co-payment จึงเป็นระบบที่ช่วยให้ทั้งผู้ทำประกัน บริษัทประกัน และระบบสาธารณสุขสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแบกรับภาระอยู่ฝ่ายเดียว
ระบบ Co-payment เป็นมาอย่างไร?

ระบบ Co-payment ต้องบอกเลยว่าในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เพราะปัจจุบันมีการใช้ระบบนี้กันอย่างแพร่หลาย และเรามักจะพบกันได้ง่ายๆในด้านของการให้บริการด้านสุขภาพที่มาในรูปแบบของ “ประกันสุขภาพเหมาจ่าย” หรือ “บริการฟรีจากภาครัฐ” บริการเหล่านี้ต่างก็ใช้งานระบบ Co-payment กันทั้งนั้น Co-payment เริ่มถูกนำมาใช้ครั้งแรกในยุโรปและอเมริกาเหนือในช่วงศตวรรษที่ 20 โดยมีความตั้งใจลดภาระของภาครัฐนั่นเอง
ประโยชน์ของ Co-payment ต่อผู้ทำประกัน
Co-payment มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ระบบประกันสุขภาพมีความมั่นคงและอยู่ได้อย่างยืดยาว และตัว Co-payment ก็ทำให้ทุกฝ่ายต่างมีความรับผิดชอบในเรื่องของค่ารักษาพยาบาลร่วมกันโดยได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝั่งผู้ให้บริการหรือผู้รับบริการ นั่นก็คือ
- การที่ผู้ทำประกันต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลบางส่วน ช่วยให้บริษัทประกันสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้
- Co-payment ส่งผลให้เบี้ยประกันถูกลง เมื่อเทียบกับประกันสุขภาพที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด
- ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงประกันสุขภาพได้ง่ายขึ้น โดยไม่เป็นภาระทางการเงินมากเกินไป
- ควบคุมการใช้บริการทางการแพทย์เกินความจำเป็น
- Co-payment จะช่วยทำหน้าที่คัดกรองความสำคัญและความจำเป็นต่อการเข้ารับการรักษาของผู้ทำประกัน เพราะผู้ทำประกันจะคำนึงถึงค่าใช้จ่ายมากขึ้น และนั่นทำให้มีการใช้สิทธิ์อย่างมีเหตุผลนั่นเอง
- Co-payment ช่วยลดการเข้ารับบริการที่เกิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การเข้าพบแพทย์ในกรณีที่ไม่เร่งด่วน
- ช่วยให้ผู้ทำประกันดูแลสุขภาพมากขึ้น
- Co-payment ผู้ทำประกันมีแรงจูงใจให้ดูแลสุขภาพของตนเองเพราะจะลดค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้หากเกิดเหตุฉุกเฉิน
ใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับการใช้ระบบ Co-payment
- หลายบริษัท จะมีประกันกลุ่มเป็นสวัสดิการประกันสุขภาพแบบ Co-payment ให้พนักงาน เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมโดยที่เหล่าพนักงานไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันสูงเกินไป
- พนักงานมีส่วนร่วมในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลและได้ใช้สิทธิ์อย่างสมเหตุสมผลและรับความคุ้มครองแบบเต็มที่
- ผู้ที่ทำงานอิสระต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเองทั้งหมดกลุ่มคนพวกนี้จะเน้นเรื่องของค่าใช้จ่ายเป็นหลังการมีคนช่วยจ่ายบางส่วนทำให้ภาระรับผิดชอบเบาลงไปด้วย
- ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว

- กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสต้องเข้ารับบริการทางการแพทย์บ่อยครั้งอาจจะด้วยอายุ หรือสุขภาพที่มีก็ตาม
Co-payment เป็นทางเลือกที่ดีหรือไม่
อย่างที่ได้อธิบายไปด้านบน Co-payment เป็นระบบที่ช่วยกระจายภาระค่าใช้จ่ายระหว่างผู้ทำประกันและบริษัทประกันเป็นตัวช่วยที่ทำให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายและลดความเสี่ยงของการใช้บริการทางการแพทย์ที่เกินความจำเป็นของผู้รับบริการ และหากภาครัฐและบริษัทประกัน ไม่ใช้ระบบ Co-payment ก็จะเกิดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นโดยสามารถแบ่งออกเป็นหลายด้าน ทั้งต่อผู้ทำประกัน บริษัทประกัน และระบบสาธารณสุข นั่นก็คือ
ผลกระทบต่อบริษัทประกัน
- ค่าใช้จ่ายของบริษัทประกันสูงขึ้นแน่นอนว่าหากไม่มีระบบ Co-payment บริษัทประกันต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ทำให้ต้นทุนของบริษัทสูงขึ้น นั่นนำพามาสู่การเพิ่มเบี้ยที่อาจต้องเพิ่มค่าเบี้ยประกันเพื่อลดความเสี่ยงของบริษัท ส่งผลให้ผู้ทำประกันต้องจ่ายแพงขึ้น
- ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้นเพราะเมื่อมีการใช้บริการทางการแพทย์มากเกินความจำเป็น นั่นจะทำให้บริษัทประกันมีภาระในการจ่ายค่าสินไหมมากขึ้นตามไปด้วย และจุดนี้อาจส่งผลให้บริษัทต้องลดสิทธิประโยชน์ลง หรือจำกัดความคุ้มครองลงตามไปด้วย
- ความไม่ยั่งยืนของธุรกิจประกันภัย หากว่าไม่ใช้ระบบ Co-payment จะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเรื่อยๆและบริษัทประกันอาจประสบปัญหาทางการเงิน และทำให้แผนประกันหลายรูปแบบต้องถูกยกเลิก
ผลกระทบต่อผู้ทำประกัน
- ค่าเบี้ยประกันแพงขึ้น แน่นอนว่าถ้าหากไม่ใช้ระบบ Co-payment เมื่อบริษัทประกันต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด จะนำพามาสู่เรื่องของการปรับเพิ่มค่าเบี้ยประกันทำให้ผู้ทำประกันต้องจ่ายแพงขึ้นตามไปด้วย
- การใช้บริการเกินความจำเป็นแน่นอนว่าเมื่อผู้ทำประกันไม่ต้องจ่ายอะไรเลย อาจจะมีการเข้ารับบริการทางการแพทย์มากเกินไป เช่น ไปหาหมอโดยไม่จำเป็น หรือขอรับยามากกว่าที่ต้องการ และนั่นจะส่งผลให้เกิดปัญหาการบริหารทรัพยากรทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ คิวยาวขึ้นหรือมีการใช้ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์เกินจำเป็น
- แผนประกันสุขภาพที่ครอบคลุมอาจลดลงหากไม่มีระบบ Co-payment ทางบริษัทประกันอาจต้องลดสิทธิประโยชน์ลง อย่างเช่นเรื่องของ จำกัดโรงพยาบาลที่สามารถเข้ารับการรักษา หรือจำกัดประเภทของการรักษาที่ครอบคลุมเพราะมีเรื่องของค่าใช้จ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง
- ทางเลือกน้อยลงสำหรับแผนประกันสุขภาพ แน่นอนหากไม่มีระบบ Co-payment จะส่งผลให้เบี้ยประกันแพงขึ้น และทำให้ผู้ที่มีงบทางการเงินจำกัดอาจเข้าถึงประกันสุขภาพได้ยากขึ้นด้วยเบี้ยที่แพงเกินความจำเป็น
ผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข
- ภาระงบประมาณของภาครัฐเพิ่มขึ้นหากรัฐบาลไม่ใช้ระบบ Co-payment แล้วต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ทั้งหมด งบประมาณที่ใช้ในภาคสาธารณสุขอาจพุ่งสูงขึ้น และอาจทำให้มีเงินเหลือน้อยลงสำหรับการพัฒนาระบบสาธารณสุขในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการสร้างโรงพยาบาลใหม่ การวิจัยทางการแพทย์ เป็นต้น
- โรงพยาบาลอาจรับภาระหนักขึ้นเพราะหากไม่ใช้ระบบ Co-payment เมื่อมีการเข้าใช้บริการทางการแพทย์มากขึ้นเกินความจำเป็นทางโรงพยาบาลจะต้องรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก ทำให้เวลารอคิวยาวขึ้นบุคลากรทางการแพทย์อาจทำงานหนักขึ้นและส่งผลให้เกิดปัญหาทรัพยากรไม่เพียงพอ
ระบบ Co-payment สำคัญอย่างไร?
หากไม่มีระบบ Co-payment จะส่งผลให้ทุกฝ่ายแบกรับความปิดชอบแต่เพียงผู้เดียว โดยจะส่งผลให้ดังนี้
- ค่าเบี้ยประกันจะแพงขึ้น
- บริษัทประกันต้องลดสิทธิ์คุ้มครองลง
- ภาครัฐต้องใช้งบประมาณสูงขึ้น
- มีการใช้บริการทางการแพทย์เกินความจำเป็นและโรงพยาบาลอาจต้องรับภาระหนักขึ้นเพราะจะเกิดการเข้ารับบริการเกินความจำเป็น