กลายเป็นประเทศเนื้อหอมที่บริษัทต่างชาติต่างพากันรุมตอมโดยฉับพลัน
สำหรับ “รัสเซีย” ประเทศเจ้าของฉายา “พญาหมี”
เหตุปัจจัยก็มาจากอานิสงส์ที่รัสเซียไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศที่ถูกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tarriffs) ซึ่งปรากฏว่า มีเกือบ 90 ประเทศ ที่ถูกมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้นี้เล่นงาน แต่ทว่า ไม่มีรายชื่อประเทศรัสเซียรวมอยู่ด้วย จากการประกาศของทางการสหรัฐฯ เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนนี้
ก็มีการแสดงความคิดเห็นไปต่างๆ นานา อาทิเช่น เพราะรัสเซียถูกมาตรการคว่ำบาตร หรือแซงก์ชันจากสหรัฐฯ และบรรดาชาติตะวันตก เป็นทุนเดิมแล้ว เพื่อลงโทษต่อรัสเซีย ที่ใช้กำลังทหาร ยกกองทัพเข้าไปรุกรานยูเครน หรือก่อสงครามรัสเซีย-ยูเครน นั่นเอง จึงไม่จำเป็นต้องถูกขึ้นบัญชีรายชื่อประเทศที่จะต้องถูกดำเนินมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ อีก
ขณะที่ บรรดานักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่ง แสดงทรรศนะว่า เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ ให้ความสำคัญกับการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนเป็นลำดับแรกๆ ก่อน จึงยังไม่ขึ้นภาษีศุลกากรต่อรัสเซีย เพื่อหวังให้การเจรจากับรัสเซีย ในการที่จะนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงในสงครามดังกล่าวตามมา
อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า การที่สหรัฐฯ ไม่นำรัสเซียให้อยู่ในรายชื่อประเทศที่ถูกดำเนินมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ ก็สร้างความผิดหวังให้แก่บรรดาทางการของชาติตะวันตก ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ อยู่มิใช่น้อยเหมือนกัน แต่ทางบรรดาสื่อมวลชนในรัสเซีย ก็ได้รายงานข่าวในลักษณะเยาะเย้ยถากถางต่อบรรดาชาติตะวันตกเหล่านั้นอย่างสนุกปากกันเลยทีเดียว
ทว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด แต่เมื่อรัสเซีย ไม่อยู่ในรายชื่อประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีศุลกากร หรือภาษีสินค้านำเข้า ก็ส่งผลให้บรรดาบริษัทต่างชาติต่างๆ สนใจที่จะเข้าไปดำเนินธุรกิจในรัสเซีย เพื่อที่ว่าจะผลิตสินค้าและสามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้ โดยที่ไม่มีอุปสรรคจากมาตรการภาษีศุลกากรของทางการสหรัฐฯ มารบกวน
โดยมีรายงานว่า มีทั้งบริษัทที่จะเข้าไปเปิดใหม่ และหวนกลับเข้าไปทำธุรกิจในรัสเซียอีกครั้ง หลังจากที่ต้องระเห็จออกมา เพราะมาตรการคว่ำบาตร หรือแซงก์ชัน ต่อรัสเซีย ที่เริ่มบังคับใช้มาตั้งแต่สมัยของอดีตประ
ธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ จนเกิดการเผชิญหน้าในลักษณะวิวาทะอย่างดุเดือดระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ แต่เมื่อหมดยุคประธานาธิบดีไบเดน เข้าสู่สมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ ก็เริ่มเป็นในทิศทางที่ดีขึ้นมา
ทั้งนี้ มีการประเมินกันว่า จากผลพวงของการคว่ำบาตร ทำให้บรรดาบริษัทจากเหล่าชาติตะวันตก จำนวนหลายร้อย หรืออาจจะถึงนับพันแห่ง ต้องย้ายออกมาจากรัสเซีย
โดยนายคิริลล์ ดมิทริเยฟ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ ของกองทุนเพื่อการลงทุนโดยตรงของรัสเซีย หรืออาร์ดีไอเอฟ (RDIF : Russian Direct Investment Fund) เปิดเผยว่า ได้มีบรรดาบริษัทต่างชาติหลายบริษัทและหลายประเทศ สนใจที่จะกลับเข้าไปดำเนินธุรกิจในรัสเซียอีกครั้ง หลังจากที่พวเขาได้ย้ายไป เพราะวิตกกังวลในเรื่องมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และเหล่าชาติตะวันตก
พร้อมกันนี้ ซีอีโอของอาร์ดีไอเอฟ ระบุด้วยว่า หลายๆ บริษัทสัญชาติเกาหลีใต้ ก็สนใจที่จะหวนกลับเข้าไปดำเนินธุรกิจในรัสเซีย
ยกตัวอย่างเช่น “แอลจี อิเล็กทรอนิกส์” ถือเป็นบริษัทแรกที่สนใจจะหวนกลับเข้าไปในรัสเซีย
โดยบริษัท “แอลจี อิเล็กทรอนิกส์” สัญชาติเกาหลีใต้แห่งนี้ เคยดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในรัสเซียมาแล้ว ซึ่งมีที่ตั้งโรงงานอยู่ในกรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย ก่อนที่จะย้ายออกไป หลังจากที่รัสเซียถูกมาตรการคว่ำบาตรจากเหล่าชาติตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ของ “แอลจี อิเล็กทรอนิกส์”ที่ผลิตในรัสเซียและขึ้นชื่อก็คือ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น
บริษัทสัญชาติเกาหลีใต้อีกแห่งหนึ่ง ก็คือ “ฮุนได มอเตอร์ กรุ๊ป” บริษัทผู้ผลิตยานยนต์ ก็มีแผนที่จะกลับเข้าไปรัสเซียอีกครั้ง เป็นโรงงานในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของรัสเซีย โดยกำลังพิจารณาประเมินสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ หากไม่มีอะไรผิดแผน โรงงานในนครเซนต์ปีเตอรสเบิร์กของรัสเซีย ก็อาจจะได้เริ่มเดินสายพานการผลิตยานยนต์ยี่ห้อฮุนไดออกสู่ตลาดก่อนสิ้นปี 2025 (พ.ศ. 2568) นี้
โดยยานยนต์สัญชาติเกาหลีใต้ หรือโสมขาว นอกจากฮุนไดฯ แล้ว ก็ยังมี “เกีย มอเตอร์ คอเปอเรชัน” อีกหนึ่งค่ายยานยนต์สัญชาติเกาหลีใต้ ที่จะหวนกลับไปรัสเซียอีกครั้งด้วยเช่นกัน
ใช่แต่เท่านั้น “ซัมซุง” บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศชั้นสูง หรือไอที ระดับยักษ์ใหญ่แห่งเกาหลีใต้ ก็กำลังประเมินสถานการณ์ โดยมีแผนที่จะหวนกลับเข้าไปดำเนินธุรกิจในรัสเซียอีกด้วยเช่นกัน
นอกจากเกาหลีใต้ ก็ยังบรรดาบริษัทในประเทศอิตาลี ก็สนใจที่จะหวนกลับเข้าไปดำเนินธุรกิจในรัสเซียอีกครั้งเช่นกัน
โดยเป็น “อริสตัน” บริษัทชั้นนำของอิตาลี ก็ประกาศที่จะหวนกลับเข้าไปดำเนินธุรกิจในรัสเซียอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นบริษัทใหญ่ในประเทศตะวันตกแห่งแรก ที่ประกาศว่าจะกลับเข้าไปในแดนหมี
อย่างไรก็ดี บรรดาบริษัทต่างชาติเหล่านี้ จะหวนกลับเข้าไปดำเนินธุรกิจแบบเต็มสูบนั้น ก็ขึ้นกับผลการเจรจาทำข้อตกลงหยุดยิงสงครามรัสเซีย-ยูเครนด้วยเหมือนกันว่า จะสัมฤทธิ์ผลบรรลุข้อตกลงกันได้เพียงใด ซึ่งถ้าถึงขั้นทำข้อตกลงสันติภาพระหว่างกันได้ก็จะเป็นเรื่องดี