ชาวไทยลุ้นได้คืน 4 โพธิสัตว์ประโคนชัย พิพิธภัณฑ์ซานฟรานฯ ลงมติ เที่ยงคือ 22 เม.ย. นี้ นักวิชาการเชื่อ ไม่ผิดแผน มิวเซียม ถอดถอนโบราณวัตถุ 4 ชิ้น พ้นจากการครอบครอง
22 เม.ย. 68 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.ดำรง ลีนานุรักษ์ อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เปิดเผยว่า ช่วงเที่ยงคืนวันที่ 22 เม.ย. ตามเวลาในประเทศไทย คณะกรรมการกำกับ San Francisco Asian Art Museum (SFAAM) จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาถอนสถานะการครอบครองประติมากรรมสัมฤทธิ์ ‘ประโคนชัย’ 4 องค์ เป็นครั้งที่ 2 เพื่อส่งคืนไทย ตามคำร้องต่อศาล โดยหน่วยสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ (Homeland Security Investigations: HSI) และอัยการกลาง
ดร.ดำรง ระบุว่า การประชุมดังกล่าว เป็นไปตามมกฎบัตรของพิพิธภัณฑ์ กล่าวคือ เมื่อผู้บริหารเสนอเรื่องเพื่อขอถอนสถานะการครอบครองโบราณวัตถุใดจากบัญชีถือครองของพิพิธภัณฑ์ หากมีการพิจารณาอนุมัติแล้ว ต้องรออีก 6 เดือน โดยนำเรื่องพร้อมข้อมูลที่ศึกษาเพิ่มเติมกลับมานำเสนอที่ประชุมอีกครั้งหนึ่งเพื่อลงมติเป็นครั้งสุดท้าย
“ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ทาง SFAAM ได้นำพระสัมฤทธิ์ทั้ง 4 องค์นี้ออกจัดแสดงเป็นนิทรรศการชื่อ The moving objects เพื่อสื่อสารและดูความคิดเห็นของชาวอเมริกัน ผมเชื่อว่า การอนุมัติให้ถอดถอนโบราณวัตถุ 4 ชิ้นนี้ออกจากการครอบครองของมิวเซียม จะเป็นไปด้วยดีตามแผน” ดร.ดำรง กล่าว
ดร.ดำรง กล่าวต่อไปว่า สำหรับประติมากรรมสัมฤทธิ์ประโคนชัย 4 องค์นี้อยู่ในรายการโบราณวัตถุ 32 รายการที่รัฐบาลไทยส่งหนังสือไปยังรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ แบบความร่วมมือรัฐต่อรัฐ ตั้งแต่ พ.ศ. 2562 โดยหน่วยสืบสวนเพิ่มความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ (Homeland Security Investigations: HSI) และอัยการกลางนำขึ้นสู่ศาล ขอหมายเรียก โดยอยู่ในขั้นตอนการเจรจา กับพิพิธภัณฑ์ 7 แห่ง
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า โบราณวัตถุชุดนี้ เป็นการซื้อหาจากชาวบ้านที่ลักลอบขุด และส่งออกไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ส่งไปให้ บริษัท Spink and Son ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยนายดักลาส แลชฟอร์ด (Dauglash Latchford)
ตามมาด้วยขบวนการเสนอขายระดับโลก ด้วยความร่วมมือกับนางเอ็มมา ซี บังเกอร์ (Emma C. Bunker) ซึ่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับประติมากรรมชุดนี้ รวมถึงโบราณวัตถุอื่นๆ ในลักษณะกึ่งแคตตาล็อก กึ่งวิชาการ 2-3 เล่ม ต่อมา นายดักลาส ถูกฟ้องร้องแต่เสียชีวิตลงก่อนขึ้นศาลเรื่องจึงพับไป
“ผลพวงจากการพิจารณาคืนประติมากรรมสัมฤทธิ์ประโคนชัยให้ไทย จากการดำเนินการของ HSI และอัยการกลางในครั้งนี้ จะมีผลดีต่อการเจรจาของ HSI และอัยการกลางต่ออีก 6 มิวเซียมที่มีรายการทวงคืนประติมากรรมสัมฤทธิ์ประโคนชัยอีก 14 องค์ โดยเชื่อว่า จะเป็นกรณีตัวอย่างที่นำไปสู่การพร้อมใจกันคืนในเร็ววัน” ดร.ดำรง กล่าว
ดร.ดำรง กล่าวอีกว่า ทั้งหมดนี้ต้องยกเครดิตให้ คณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทย จากต่างประเทศกลับคืนสู่ไทย ซึ่งรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2560 รวมถึงการทำงานรับผิดชอบอย่างแข็งขันของ HSI และอัยการกลางสหรัฐฯ ที่นำเรื่องขึ้นศาล โดยมีการเจรจากับทางพิพิธภัณฑ์ยาวนานเกือบ 4 ปี
“นอกจากนี้ ต้องให้เครดิตกับทีมงานสำนึก 300 องค์ ที่เริ่มต้นโดยนายทนงศักดิ์ หาญวงษ์ และนายโชติวัฒน์ รุญเจริญ ในการจุดประกาย รณรงค์ให้มีการทวงคืนประติมากรรมสัมฤทธิ์ประโคนชัย
และต้องกล่าวถึงอีกสองท่าน นั่นคือ หนึ่ง ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประสานงานผู้ใหญ่ในรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ ให้เสนอท่านนายกประยุทธ์ ที่นำไปสู่ การเรียกท่านที่สองมาพบที่ทำเนียบ เพื่อสอบถามและสรุปให้ไปจัดตั้งคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุจากต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย
สอง ท่าน วีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและ ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุฯ คนแรก โดยผลักดันให้มีการส่งหนังสือทวงคืนฯ รวมสองฉบับอย่างเป็นทางการไปยังรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
ท่านวีระได้ทำหน้าที่เกาะติด ลงลึก ในภารกิจการทวงคืน และอยู่เบื้องหลังร่วมกับผมแก้ปัญหาหลายๆจุดที่ติดขัด ที่ให้การทวงคืนของไทยเราส่งผลที่กำลังจะออกผลมาในเวลาใกล้ๆนี้ โดยเฉพาะ ประติมากรรมสัมฤทธิ์ประโคนชัย” ดร.ดำรง กล่าว
ดร.ดำรง กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับเครดิตใหญ่ที่สุดต้องมอบให้แก่ ‘ท่านอาจารย์’ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ผู้จุดประกายกิจกรรมการทวงคืนโบราณวัตถุของไทยจากต่างประเทศ นำไปสู่การได้คืนทับหลังปรางค์กู่สวนแตง และทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ในอดีต และเป็นผู้เขียนบทความเรื่อง ‘ประติมากรรมสัมฤทธิ์ประโคนชัย’ โดยสรุปไว้ท้ายเรื่องว่า “ข้าพเจ้าหวังว่าเรื่องนี้คงเป็นเครื่องสังวรแก่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในประเทศไทย มิให้เกิดขึ้นได้อีกต่อไป”
“ท่านเขียนบอกเล่าว่า ประติมากรรมสัมฤทธิ์ประโคนชัยกว่า 300 องค์ ทั้งเล็กใหญ่ ได้ถูกลักลอบขุด และส่งออกไปต่างประเทศ นายดักลาส แลชฟอร์ด นำประติมากรรมสัมฤทธิ์ประโคนชัยองค์เล็กๆ ผุๆ มามอบให้คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรหนึ่งองค์ ขณะที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไม่มีจัดแสดงเลย” ดร.ดำรง กล่าว