ไขข้อสงสัยเครื่องหมาย “T” บนเหล็กข้ออ้อย มอก. 24-2559 ยันไม่มีผลต่อโครงสร้าง ใช้ได้ปกติ
เมื่อวันที่ 23 เมษายน เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุม ชั้น 4 อาคาร วสท. ตามที่มีหนังสือส่วนราชการเผยแพร่อยู่บนโลกออนไลน์ อาจเป็นเหตุให้เกิดความสับสน และอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กวงกว้างได้ เพื่อเป็นการให้ข้อมูลทางวิชาการอย่างถูกต้อง และลดความสับสนของสังคมในกรณีการใช้งานเหล็กข้ออ้อย ตาม มอก. 24-2559
วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ร่วมกับสมาคมวิชาชีพ นำโดยรองศาสตราจารย์ ดร.สมิตร ส่งพิริยะกิจ ประธานสาขาวิศวกรรมโยธา วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์} นายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง อุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ นายนพดล ใจชื่อ อุปนายกวิชาการสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลดังนี้
1. ชั้นคุณภาพของเหล็กข้ออ้อยตาม มอก. 24-2559 มี 3 ชั้นคุณภาพ คือ SD30 SD40 และ SD50 แต่ละชั้นคุณภาพมีคุณสมบัติทางเคมี และทางกลต่างกัน ส่วนเครื่องหมาย “T” ไม่ได้เป็นสาระสำคัญของชั้นคุณภาพ เครื่องหมาย “T” ถูกพูดถึงในหัวข้อ “ฉลากและเครื่องหมาย” เพียงเพื่อระบุวิธีการผลิตเท่านั้น
เกณฑ์การยอมรับ เกณฑ์ชักตัวอย่าง และเกณฑ์การทดสอบต่าง ๆ ของเหล็กข้ออ้อย SD30 และ SD30T จะต้องผ่านเกณฑ์การทดสอบแบบเดียวกันทุกประการ เช่นเดียวกับเหล็กข้ออ้อย SD40 และ SD40T รวมถึง SD50 และ SD50T ไม่มีข้อยกเว้น
ดังนั้นการระบุในแบบและรายการประกอบแบบเรื่องให้ใช้เหล็กข้ออ้อยชั้นคุณภาพ SD40 หรือ SD50 จึงเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่มีชั้นคุณภาพ SD40T และ SD50T ตาม มอก 24-2559 การยินยอมให้ใช้เหล็กข้ออ้อย SD40T หรือ SD50T ในโครงการก่อสร้างจึงไม่ใช่การ “ลดสเป็ก” แต่อย่างใดเพราะเครื่องหมาย “T” ไม่ใช่เครื่องหมายระบุชั้นคุณภาพ หากหน่วยงานก่อสร้างใดมีความประสงค์จะไม่ให้ใช้เหล็กข้ออ้อยที่ผลิตโดยกรรมวิธีที่มีเครื่องหมาย
ควรต้องระบุในแบบและรายการประกอบแบบให้ชัดเจน
2.เหล็ก “T” มีราคาถูกกว่าเหล็กปกติเป็นที่รับรู้ในวงการก่อสร้างทุกภาคส่วนมาตั้งแต่ปี 2548 หรือ 20 ปีแล้ว ราคาวัสดุก่อสร้างจำพวกเหล็กชนิดต่าง ๆ ได้รับการรับรู้แพร่หลาย และราคาการประมูลงานสะท้อนข้อเท็จจริงนี้มานานแล้วในการประมูลงานภาคเอกชนและภาครัฐ
เป็นเรื่องปกติที่ผู้ประสงค์จะยื่นประมูลจะสอบถามผู้ว่าจ้างก่อนว่ายินยอมให้ใช้ เหล็ก “T” หรือไม่ จึงจะคำนวณราคาตามข้อกำหนดนั้น ๆ อย่างไรก็ตามผู้ควบคุมงานก่อสร้าง “มักจะ” อนุญาตให้ใช้เหล็ก “T” ได้เสมอเพื่อลดค่าใช้จ่าย (ของเจ้าของงาน) แต่ยังได้คุณสมบัติเหล็กตามคุณภาพที่ต้องการ
3. เหล็กที่กำลังสูงขึ้น จะมีความแข็งมากขึ้น และมีความสามารถในการดัดโค้งน้อยลง เช่น เหล็ก SD50 จะมีโอกาสแตกร้าวขณะดัดโค้งมากกว่า SD40 และด้วยกระบวนการผลิตแบบ “T” ทำให้ผิวของเปลือกนอกของเหล็กข้ออ้อยแข็งกว่าเหล็กด้านในแกนกลาง จึงทำให้ผิวด้านนอกเสี่ยงต่อการแตกร้าวหากถูกดัดงอมากขึ้น ซึ่ง มอก 24-2559 กำหนดการทดสอบความสามารถในการดัดโค้งไว้ในเกณฑ์มาตรฐานของเหล็กทั้งสองชนิด ไม่แตกต่างกัน
เรื่องนี้เป็นที่ทราบดี วิศวกรจึงหลีกเลี่ยงการดัดงอเหล็กข้ออ้อยที่มีกำลังสูง SD50 และ SDSOT ด้วย รัศมีน้อย ๆ ทั้งสองชนิด แล้วเลือกใช้เหล็ก S040 หรือ S04OT ที่มีความสามารถในการดัดโค้งมากกว่าแทน เช่น ในการทำเหล็กปลอก
1. การล้า (fatigue) ไม่ได้อยู่ในรายการทดสอบตาม มอก. 24-2559 ทุกชั้นคุณภาพ และไม่ได้อยู่ในรายการมาตรฐานทดสอบเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตสำหรับก่อสร้างทั่วโลก ทั้งนี้แรงเค้นที่เกิดขึ้นในเหล็กเสริมคอนกรีตขณะใช้งานปกติมีค่าต่ำกว่ากำลังระบุมาก เช่น เหล็ก SD50T อาจจะมีความเค้นใช้งานปกติประมาณ 150-250 MPa เมื่อเทียบกับกำลังครากประมาณ 490 MPa โอกาสที่โครงสร้างปกติจะรับน้ำหนักกระทำซ้ำที่ความเค้นสูง กลับไปมาจนวิบัติจากความล้ามีน้อยมากตลอดอายุการใช้งานความกังวลใจในเรื่องการล้าเกิดขึ้นกับวัสดุก่อสร้างชนิดอื่นและจำเป็นต้องมีการทดสอบเช่น ลวดอัดแรง เป็นต้น
2. วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ ยังไม่มีข้อมูลเรื่องคุณภาพเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตที่ผลิตจากเตา IF ว่ามีคุณภาพสม่ำเสมอหรือไม่ วิศกรผู้ควบคุมงานควรชักตัวอย่าง ทดสอบตามมาตฐาน อย่างเคร่งครัดและครบถ้วน ทุกครั้งก่อนอนุญาตให้นำไปใช้งาน ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวมาข้างต้น เหล็ก SD30T SD40T และ SD50T สามารถใช้ในงานอาคารสูงได้โดยไม่ต้องการออกแบบใดๆ เพิ่มเติม แต่ยังคงต้องควบคุมคุณภาพในการก่อสร้างเช่นเดียวกับการใช้เหล็ก
SD30 SD40 และ SD50