วันที่ 25 เม.ย.2568 นายปริเยศ อังกูรกิตติ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย จากกรณีที่มีสื่อมวลชนบางสำนักนำเสนอข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี ว่า สส.จากพรรคไทยสร้างไทยจะไปร่วมสนับสนุนรัฐบาล และมีผู้แทนบางรายได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ว่า พรรคยังคงยืนหยัดทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างชัดเจน และพรรคไม่เคยมีการตกลงหรือเจรจาเพื่อเข้าร่วมกับฝ่ายบริหารตามที่มีสื่อมวลชนมีการกล่าวอ้าง พร้อมขอให้ทุกฝ่ายที่นำชื่อของพรรคไปใช้ในการนำเสนอข่าว คำนึงถึงข้อเท็จจริง หรือสอบถามข้อมูลจากทางพรรคโดยตรงจะเป็นประโยชน์มากกว่า
ส่วนผู้มีอำนาจในรัฐบาลที่ใช้การเมืองสีดำ ขนทั้งอำนาจเงิน อำนาจรัฐ เพื่อดึงสส. ที่พรรคไทยสร้างไทยสนับสนุน จนมีโอกาสเข้าไปทำงานในสภาผู้แทนราษฎร ได้คำนึงถึงจริยธรรมทางการเมือง และควรเคารพในข้อเท็จจริงว่า สส.รายดังกล่าวยังอยู่ในสังกัดพรรคไทยสร้างไทย รวมถึงยุติการกระทำแบบเดียวกันกับพรรคการเมืองอื่นๆ ด้วย เพราะถือเป็นการทำลายการเมืองไทยอย่างมาก ไม่สมกับที่ป่าวประกาศว่าเป็นรัฐบาลที่ปกป้องระบอบประชาธิปไตย
“กว่าพรรคจะปลุกปั้น สนับสนุนให้บรรดา สส.เหล่านั้นเป็นตัวเป็นตน เป็น สส.ได้ ต้องไปรณรงค์หาเสียงมาด้วยความยากลำบาก ที่สำคัญคือได้ปลูกฝังให้เคารพเสียงประชาชน ไม่ขายตัวขายเสียงเป็นงูเห่า แม้จะมีเอกสิทธิคุ้มครอง แต่หากเอาคะแนนโหวตไปแลกกับผลประโยชน์ก็ถือว่าส่อผิดจริยธรรมได้เช่นกัน ซึ่งวันใดที่หมดอำนาจก็อาจถูกตามเช็คบิลย้อนหลังได้ ขอให้นึกถึงอนาคตการเมืองไทยด้วย อย่าให้เน่าเฟะไปมากกว่านี้” โฆษกพรรคไทยสร้างไทย กล่าว
ทั้งนี้ พรรคไทยสร้างไทยขอยืนยันจุดยืนทางการเมืองอย่างแน่วแน่ว่า จะไม่แลกหลักการกับตำแหน่ง และยังคงทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน และเชื่อว่าประชาชนคนที่ผิดหวังกับ รัฐบาลชุดนี้ ที่ทำการเมืองสีดำ เน้นผลประโยชน์ต่อรองเก้าอี้ จะหันมาสนับสนุนพรรคไทยสร้างไทยและคุณหญิงสุดารัตน์มากกว่าเดิม เพราะเป็นพรรคที่ถูกกระทำมาโดยตลอดจากผู้มีอำนาจ ทั้งที่ไม่ใช่พรรคขนาดใหญ่ ซึ่งอาจเกิดจากประเด็นการบริหารงานที่ล้มเหลวต่างๆของรัฐบาลที่ทางพรรคออกมาพูดต่อสาธารณะมาต่อเนื่อง จนกระทบแผนการต่างๆ ที่จะได้มาซึ่งประโยชน์ของคนบางกลุ่มในรัฐบาลเอง
สำหรับกรณีของ สส.ที่ฝ่าฝืนมติพรรค เพื่อผลประโยชน์ใดๆ อาจถือเป็นการกระทำการขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พรรคไทยสร้างไทยจำเป็นต้องดำเนินการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน พร้อมอยู่ระหว่างขั้นตอนการส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาและดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป เพื่อยืนยันถึงความจริงจังในการปกป้องหลักการประชาธิปไตย และไม่ยอมให้การทรยศต่อเสียงของประชาชนกลายเป็นเรื่องปกติในระบบรัฐสภาไทย