วิเคราะห์แนวโน้มเลือกตั้งนายกเทศมนตรีทั่วประเทศ 11 พ.ค.นี้ ดุเดือดมากน้อยอยู่ที่พรรคใหญ่-ประชาชนตัดสิน
GH News April 27, 2025 11:06 PM

วิเคราะห์แนวโน้มเลือกตั้งนายกเทศมนตรีทั่วประเทศ 11 พ.ค.นี้ ดุเดือดมากน้อยอยู่ที่พรรคใหญ่-ประชาชนตัดสิน

รองศาสตราจารย์ ดร.ณกมล ปุญชเขตต์ทิกุล อาจารย์ประจำหลักสูตรปริญญาเอก สาขายุทธศาสตร์การพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร เปิดเผยว่า การคาดการณ์แนวโน้มการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีทั่วประเทศ วันที่ 11 พฤษภาคม 2568 จะดุเดือดมากน้อยอย่างไร ก็ขึ้นกับความต้องการที่จะแข่งขันของพรรคใหญ่และพฤติกรรมการตัดสินใจของประชาชนด้วย เป็น 2 ปัจจัยหลัก

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีทั่วประเทศในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 กำลังเป็นสนามที่สะท้อนทั้งพลวัตของพรรคการเมืองระดับชาติและโครงสร้างอำนาจในท้องถิ่นอย่างชัดเจน การแข่งขันครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการวัดกำลังของตัวบุคคลในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังเป็นบททดสอบสำคัญของพรรคการเมืองระดับชาติที่พยายามขยายฐานอิทธิพลลงสู่ระดับรากหญ้า ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่ประชาชนเริ่มตั้งคำถามกับระบบบ้านใหญ่และการเมืองแบบดั้งเดิม

พรรคเพื่อไทย ยังคงรักษาความได้เปรียบในเขตภาคเหนือและอีสานตอนบน ซึ่งเป็นฐานเสียงดั้งเดิมที่เหนียวแน่นมาอย่างยาวนาน แม้พรรคจะส่งผู้สมัครลงในหลายพื้นที่ แต่ด้วยลักษณะของการเมืองท้องถิ่นที่เน้นตัวบุคคลมากกว่าพรรค ทำให้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถคาดหวังชัยชนะเบ็ดเสร็จได้ทุกแห่ง ความท้าทายสำคัญของพรรคคือการต่อสู้กับระบบบ้านใหญ่ในบางจังหวัดที่ยังฝังรากลึก และการโน้มน้าวให้ประชาชนเห็นว่าการเลือกผู้สมัครในนามพรรคเพื่อไทยคือการเลือกนโยบายที่มีภาพใหญ่เชื่อมโยงถึงการพัฒนาท้องถิ่นอย่างแท้จริง

พรรคภูมิใจไทย ใช้ยุทธศาสตร์การเชื่อมต่อกับกลุ่มบ้านใหญ่และนักการเมืองท้องถิ่นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะภาคอีสานตอนล่างและภาคใต้ตอนบน แม้ภาพลักษณ์ของพรรคในระดับประเทศจะมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน แต่ในสนามท้องถิ่น พรรคสามารถอาศัยเครือข่ายเดิมและการทำงานเชิงประจักษ์ในระดับจังหวัดเพื่อเสริมความแข็งแกร่งได้ ปัจจัยเสี่ยงของภูมิใจไทยอยู่ที่การแข่งขันกับเพื่อไทยในบางพื้นที่ และความพยายามของพรรคใหม่ๆ ที่จะเข้ามาแบ่งฐานเสียงเมืองขนาดกลาง

พรรคกล้าธรรม แม้จะเป็นพรรคใหม่ แต่ได้รับการจับตามองในฐานะพรรคที่เน้นภาพลักษณ์สะอาด ยึดถือหลักธรรมาภิบาล และตอบสนองต่อกระแสความต้องการการเมืองแบบใหม่ กลุ่มเป้าหมายของพรรคอยู่ในเขตเมือง เขตเทศบาลขนาดกลาง และในกลุ่มประชาชนที่ผิดหวังจากการเมืองแบบเดิม อย่างไรก็ตาม การขาดเครือข่ายในระดับหมู่บ้านและตำบลยังเป็นข้อจำกัดสำคัญที่พรรคต้องเร่งแก้ไข

พรรคประชาชน เป็นอีกพรรคหนึ่งที่เริ่มได้รับการกล่าวถึง แม้ว่าจะยังใหม่และขาดเครือข่ายท้องถิ่นที่แข็งแรง แต่ด้วยกระแสความไม่พอใจพรรคใหญ่ รวมถึงการสื่อสารที่เน้นคนรุ่นใหม่และผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเมือง พรรคประชาชนมีโอกาสเจาะพื้นที่ในบางเทศบาลเขตเศรษฐกิจหรือเทศบาลเมืองที่ประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม การสร้างความน่าเชื่อถือระยะสั้น และการต่อสู้กับการซื้อเสียงในพื้นที่ชนบท ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่

การตัดสินใจของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีปัจจัยชี้วัดสำคัญสองประการคือ

ผลงานที่ผ่านมาและภาพลักษณ์ของผู้สมัคร
ในเขตเมืองและพื้นที่ที่มีระดับการศึกษาสูงขึ้น ประชาชนจะให้ความสำคัญกับผลงาน ความโปร่งใส และแนวทางการพัฒนาท้องถิ่นที่ชัดเจนมากกว่าการพิจารณาจากเครือข่ายส่วนตัวหรือสังกัดพรรคอย่างเดียว ความสามารถในการสื่อสารนโยบายและการทำงานเชิงรูปธรรมจึงเป็นกุญแจสำคัญ

การซื้อเสียงและระบบอุปถัมภ์
ในชนบทและบางเทศบาลขนาดเล็ก ระบบบ้านใหญ่และการซื้อเสียงยังคงมีบทบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประชาชนยังพึ่งพิงระบบอุปถัมภ์เพื่อการดำรงชีวิต การเลือกตั้งในพื้นที่เหล่านี้จึงไม่ได้สะท้อนเจตจำนงทางการเมืองที่แท้จริงเท่าใดนัก แต่ขึ้นอยู่กับข้อตกลงเฉพาะหน้าและผลประโยชน์ระยะสั้น

การสู้กันของพรรคการเมือง และผู้สมัครอิสระ อาจจะต้องพบกับ "5 ปัจจัยสำคัญที่ชี้ขาดผลการเลือกตั้งท้องถิ่น 11 พฤษภาคม 2568"
ได้แก่
1. ความเข้มแข็งของตัวบุคคลและเครือข่ายท้องถิ่น
ผู้สมัครที่มีฐานเสียงท้องถิ่นเดิมเหนียวแน่น มีเครือญาติหรือเครือข่ายสนับสนุนในพื้นที่ จะได้เปรียบสูง แม้สังกัดพรรคจะไม่แข็งแรงมาก

ในหลายพื้นที่ ความไว้วางใจแบบส่วนตัว ("รู้จักกัน" หรือ "เคยช่วยเหลือกัน") ยังมีน้ำหนักกว่าภาพพรรคการเมือง

2. กระแสพรรคการเมืองระดับชาติ
พรรคที่มีกระแสในประเทศแรง เช่น เพื่อไทย หรือภูมิใจไทย จะสามารถต่อยอดคะแนนในเขตเทศบาลขนาดใหญ่หรือเขตเมืองที่มีผู้รับรู้ข่าวสารการเมืองสูง

พรรคใหม่ เช่น พรรคประชาชน หรือพรรคกล้าธรรม ต้องอาศัยกระแสความต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อต่อยอดพื้นที่เมือง แต่จะลำบากในชนบท

3. ประเด็นผลงานและภาพลักษณ์ "ความโปร่งใส"
พื้นที่ที่ประชาชนตื่นตัวทางการเมืองสูง ผลงานเดิมและความโปร่งใสของผู้สมัครจะเป็นเกณฑ์ตัดสินใจสำคัญ

ผู้สมัครที่เคยมีประวัติคดีทุจริต หรือเกี่ยวพันกับปัญหาเชิงจริยธรรม จะถูกลดความนิยมลงชัดเจน

4. บทบาทของระบบอุปถัมภ์และการซื้อเสียง
ในหลายพื้นที่ชนบท ระบบบ้านใหญ่ยังทำงานได้ดีผ่านการอำนวยผลประโยชน์ต่างๆ เช่น การจัดสรรโครงการ การเข้าถึงงบประมาณ และการช่วยเหลือเฉพาะหน้า

การซื้อเสียงอาจยังปรากฏ แต่จะมีรูปแบบแนบเนียนขึ้น เช่น การช่วยเหลือแบบ “เหมือนทำบุญ” หรือ “ช่วยชุมชน” มากกว่าการให้เงินสดโดยตรง

5. การมีส่วนร่วมและการตื่นตัวของคนรุ่นใหม่
ถ้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ (อายุ 18–30 ปี) ออกมาใช้สิทธิ์จำนวนมาก จะส่งผลให้พรรคใหม่ๆ หรือผู้สมัครที่มีภาพลักษณ์สะอาด ได้เปรียบ

แต่หากคนรุ่นใหม่เฉยเมยหรือติดกับดัก “รู้สึกว่าไม่สำคัญ” การเลือกตั้งจะกลับไปอยู่ในมือกลุ่มเดิมที่มีเครือข่ายแน่นหนา
จึงอาจจะสรุปได้ว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นในครั้งนี้จะไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนในโครงสร้างการเมืองท้องถิ่น แต่จะสะท้อนสัญญาณบางประการที่น่าสนใจ ได้แก่ ความสามารถของพรรคใหม่ๆ ในการเจาะฐานเสียงเมืองใหญ่, ความเหนียวแน่นของระบบบ้านใหญ่ในชนบท และความเปลี่ยนแปลงเชิงวัฒนธรรมการเมืองที่ประชาชนบางกลุ่มเริ่มโฟกัสไปที่ผลงานและความโปร่งใสมากกว่าการพึ่งพิงระบบอุปถัมภ์แบบเดิม

การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ "การเลือกนายกเทศมนตรี" เท่านั้น หากแต่เป็น "การวัดอุณหภูมิ" ของการเปลี่ยนผ่านการเมืองไทยในระดับฐานรากอย่างแท้จริง.

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.