ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“..รสชาติแห่งชีวิตที่ฟาดกระหน่ำเข้าสู่ตัวตนของเรา..ล้วนมีเวลาแห่งการโบยตีที่ขับเคลื่อนไหวอยู่..ในเบื้องลึกจิตวิญญาณที่รุกล้นไปด้วยบาดเจ็บ..บางสิ่งคือความฝังจำในฝังจำที่ไม่เลือนลืม..แต่อีกหลายๆสิ่งกลับเป็นดั่ง” เศษผงเศษขยะแห่งทรงจำ"ที่ปลิดปลิวเข้ามาโบยตีเราอยู่ซ้ำๆ..”
เหตุดั่งนี้..ตัวตนที่แท้ของเรา จึ่งคือรอยร่างของอะไรกันแน่?..ในวิสัยสำนึกอันสั่นสะท้าน..หรือมันอาจจะเป็นภาวะสำนึกอันบริสุทธิ์ ที่ตกตะกอนอยู่ในรวงรังแห่งความร้ายดีของก้นบึ้ง...เหนือมายาคติอันท่วมท้น.
"..เข้าไปเถอะในรังของเธอ คุณจะเจอกลิ่นแมลงสาบ กลิ่นเน่าๆ อย่างไม่รู้ที่มาที่ไป คำออเซาะที่หาความจริงไม่ได้เลย.. “ที่รัก..อย่าทำอะไรให้เหนื่อยเลยนะ เรากินกันคนละอย่าง กินกันคนละหน ต่างคนต่างกิน ต่างคนต่างอยู่.."....."
ความต่างแห่งจักรวาลสำนึกของชีวิต..ถูกหว่านโปรยเปรียบเทียบเป็นภาพวาดของอุทาหรณ์สอนจริต..เราต่างมีชีวิตอยูภายใต้ดวงตาวันเดียว..หดหัวเร้นซ่อนตัวในรังของสัญชาตญาณอย่างสับสน..เอาเปรียบ ไม่จริงใจ และ รุกกระหน่ำ..นี่คือ “ตัวละครเปิดตัว” ที่ไม่ยอมเปิดใจให้กับโลกวิถีอันแท้จริง..
"ความว้าเหว่ไม่เข้าใครออกใคร..คุณกลืนกินไปคนเดียว..!"
บทเริ่มต้นทางปฏิกิริยา..ข้างต้น..คือเนื้อในแห่งภาวะรู้สึก ที่ส่องสะท้อนประเด็นเรื่องราวอันเป็นประเด็นเปรียบเทียบ ที่ล้ำลึกผ่านหัวใจของหัวใจเข้าไปสู่ความจริงแห่งการรับในความหมายผ่าน"ตัวตนสัมผัส"..
.."บทกวีที่ถูกเพ่งเล็ง จากช้อนส้อมของความยากไร้.." รวมบทกวีที่เต็มไปด้วยนัยความหมายระหว่างชีวิตต่อชีวิตของ “คำ พอวา" กวีผู้สร้างสรรค์บทกวีจากสายลมของอารมณ์และความรู้สึก/ร้อนร้าย เยียบเย็น โบยตี และ ปลอบประโลม..ในฉากเหตุการณ์ต่างๆที่เข้ามารานรุกชีวิต ..ทั้งด้วยการกัดกินใจและกาย..อย่างไรกรุณา..
เรื่องบางเรื่องเป็นความชิดใกล้..ที่หยั่งเห็นผ่านสายตาของการอยู่ร่วม..แต่เรื่องบางเรื่องอาจตระหนักเห็นในสิ่งที่อยู่ไกลออกไปแต่กลับมาทบซ้อนสู่ชีวิต..
"..สัตว์ป่วยในตัวข้าพเจ้าเกือบสูญพันธุ์ไปแล้ว..ข้าพเจ้าขังไว้ในถ้ำใหญ่แห่งความอาดูรสูญสิ้น..ไม่ให้อาหารความโศกเศร้าแก่มัน"
นี่คือรอยทางแห่งปรากฏการณ์ของหายนะที่ค่อยๆบดขยี้ต่อชีวิตของเรา..ในนามของสัตว์ป่า..
"ในที่สุด...สัตว์ป่วยในตัวข้าพเจ้าก็โตเต็มวัย../..สัตว์ร้ายในตัวข้าพเจ้าออกมาดื่มด่ำแสงแดดครั้งแรก/ข้าพเจ้าคุ้นเคยกับอาการหยิ่งผยอง เย้ยหยันความสุขของมันได้อย่างดี_/ข้าพเจ้ารู้ว่ามันเติบโตแข็งแกร่งขึ้นมาด้วยความทุกข์เศร้าสารพัน/ข้าพเจ้ารู้ว่า..มันยิ่งโตข้ามวันข้ามคืนด้วยดื่มโอสถพิษ..ของความร้าวรานทั้งมวล"
ตัวตนแห่งตัวตนของตัวละคร..ในบทกวี..ได้แสดงถึงภาพสะท้อนกลับในมุมหักเหของชีวิต..เป็นธารสำนึกอันเชี่ยวกรากจากประสบการณ์อันขาดวิ่น..แต่มันกลับเป็นสาระแห่งการบอกกล่าว ที่ดื่มด่ำกล้ำกลืนในทัศนะของผู้เป็นกวี..เป็นการปอกเปลือกสำนึกผ่านสัจจะของสิ่งกระทบที่แกว่งไกว..ไม่รู้จบ..
"เจ้าสัตว์ป่วยในตัวข้าพเจ้าเพิ่งเติบโตเต็มวัย..แข็งแรง/อีกนานกว่ามันจะเลิกสนใจหุบเขาทุกข์โศกในตัวข้าพเจ้า/อีกนานกว่าสัตว์ป่วยในตัวข้าพเจ้าจะล่วงรู้ความจริงว่า..โลกนี้ไม่มีอะไรจริงๆ"
"ภาวะเปรียบเทียบในบทกวีชุดนี้ ...มีรากลึกมาจากข้อสังเกตแห่งธรรมชาติ ..สรรพสิ่งที่อยู่ร่วมกันบนโลกนี้ ล้วนสร้างสัญญะต่อกัน อย่าง "กลืนกลาย" ..มันอาจจะมีทั้งความเป็นดุลยภาพ และ ความแปลกแยกปรวนแปรอันสั่นสะเทือน..ดุจเงาร่างของปีศาจ..ที่ปะทะกันกับเงาร่างของความสัตย์จริง..ณ ที่นี้..อะไรจึ่งคือความเป็นอะไรกันแน่..
"จักจั่นร้องปรากฏตัวในร้อนแรง/ล่องหนในความโปร่งใสและทะลุผ่านไปในทุกทาง/ล่องหนกลมกลืนไปกับดวงตาสายลม/..หายไปในเสียงจักจั่น../
"ดวงตาในสายลม/..ดวงตาหยอกล้อวันคืน..เปลี่ยนผ่าน../จักจั่นไม่ได้ร้องหาคำตอบทางเปลี่ยนของดวงตา...ในสายลม"
.....เราต้องค้นหาความเข้าใจในตัวตน..ผ่านบทกวีชุดนี้..อย่างค่อยเป็นค่อยไป..มีจุดแห่งสัมพันธภาพบางจุดที่ สมอง กาย และใจต้องรับรู้ด้วยกัน..มันคือทาบเงาของความงามอันเป็นวิจิตรการของชีวิตที่สมควรต้องจารจารึกไว้..ด้วยความเป็น “มโหรีแห่งถ้อยคำ"...
นั่นจึงเท่ากับว่า..ภูมิปัญญาแห่งการเป็นนักดนตรีของ “คำ พอวา"..ได้ได้โยงใยฉากแสดงแห่งชีวิต ..ให้บังเกิดสีสันแห่งจินตนาการขึ้นมาในความรู้สึกอันยากจะลบลืม..
"เมฆหมอกลอยผ่านหน้าไป ซื้อขายกันได้หรือไม่/ความเป็นไปได้ที่เราจะครอบครองมีค่าเป็นสูญ/...หยิบจับสิ่งใดมาเป็นของเราได้บ้าง/ภูเขาใหญ่ ใหญ่ด้วยก้อนดินพูนสูง/ภูเขาใหญ่เขียวขจีด้วยต้นไม้นานาเสียดายอดขึ้นมา/ภูเขาใหญ่ส่งเสียงไพเราะ ด้วยส่ำสัตว์นานาอาศัยอยู่/สิ้นก้อนหินดินพูนสูง สิ้นต้นไม้นานา สิ้นซากสัตว์อาศัย_/ยังเรียกภูเขาใหญ่อยู่ได้อย่างไร/"
"คำ พอวา"..สร้างสรรค์น้ำคำของบทกวี..ผ่านประสบการณ์ จินตนาการ และวิชาการได้อย่างเนียนแนบ..เป็นการทดสอบความจริงด้วยโครงร่างภายในของความรู้สึกที่ตกค้างอยู่กับ"ก้อนถ่านแห่งไฟฝัน"
ดั่งว่า.."เบ้าหลอมอันทรงพลัง กำเนิดจากหัวใจอันทรงพลัง/เต้นระรัวผ่านวันคืน/แผ่รังสีความร้อนไปไกลถึงขอบจักรวาล"..
ที่สุดแล้ว..ในความเป็นบทกวี.."คำ พอวา"เหมือนจะย้ำเตือนกับปู่เสพย์โลกทุกคนให้ได้ฝังจำตลอดไปว่า..ไม่มีสิ่งใดอยู่นิ่ง และไม่กลายเป็นอื่นอีกแล้ว..
"..นั่งดูความเปลี่ยนแปลงของความจริง/บทกวีบทใหม่เป็นความจริงใหม่ เริ่มเกิดขึ้นในห้วงกระแสใจ/อย่าให้บทกวีติดเชื้อโลก ทำให้ใจเสียหายได้/ความว่างในโพรงกลวงๆแห่งหนไหนก็ตาม/บทกวีล่องข้ามผ่านมาได้ การบันทึกบรรทัดพยัญชนะตัวต่อไป..จึงเกิด.."
"ใจภายใน"คือบทตอนแรกของรวมบทกวีชุดนี้ ..มันปิดท้ายด้วยบทตอน “นักตกแต่งต้นไม้"เป็นเจตจำนงอันแม่นตรงต่อการตอกตรึงชีวิตให้แม่นตรง..!
"เราปล่อยให้สิ่งชำรุดและบกพร่องนั่นจัดการชีวิตเรา ตลอดเวลานั้นหรือ/..กี่วันมาแล้ว กระรอกเผือกมาเคาะพู่หางกับกิ่งมะม่วงหลังบ้าน/มันไม่ร้องขอให้มองมันด้วยสายตามองเห็นความงาม/ถ้ามันคิดได้..มันคงไม่ปรารถนาให้เราคุกคามชีวิตมันด้วย/"
หากเปรียบให้กายร่างของชีวิตเป็นเหมือนต้นไม้สักต้นหนึ่ง..มันก็มีแต่การทอดยาวขึ้นเบื้องสูงและหยั่งลึกสู่รากลึกของจิตวิญญาณเพียงนั้น..สิ่งนี้คือความหมายอันใดต่อการตีความและจดจำ..นั่นตกอยู่กับวิถีความเชื่อ..ที่สับสนและไม่รู้ที่มาที่ไป...อันจริงแท้..
"วันนี้ ฉันไม่รู้ว่าฉันยืนอยู่บนความเชื่อของใคร/นี่มันเรื่องน่าเศร้าที่สุด นับตั้งแต่เวลาที่ฉันเติบโตมา/เมื่อรู้ว่า..ฉันยืนอยู่บนความเชื่อสิ่งใด/ฉันไม่ได้ยืนอยู่ต้นน้ำ กลางน้ำ หรือ ปลายน้ำอีกต่อไป/ฉันกำลังเป็นปลาตายที่ไหลตามน้ำไปอย่างไม่รู้ทิศทาง/เน่าเหม็นไปตลอดที่ผ่าน/เนื้อเปื่อยกร่อนยุ่ยหล่นละลายไปกับน้ำอยู่ตลอด เวลา/ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้า.."
"จากช้อนส้อมของคนยากไร้"แท้จริงแล้วมันสื่อให้มนุษย์เราได้บริโภคถึงอะไร..ผ่านสำนึกคิดนานา..มันอาจจะเป็นเพียงเรื่องปกติที่จะตักอาหารเข้าปาก..เสียบแทงชิ้นเนื้อเข้าสู่การขบเคี้ยว เกลี่ยอาหารที่กระจัดกระจายให้หลอมรวมเป็นระเบียบหรือเป็นหนึ่งเดียว..ไปจนกระทั่งเป็นพาชนะของการตักน้ำอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อพันธสัญญาในโลกแห่งชีวิตที่ยิ่งใหญ่..ทังหมดในสิ่งทั้งหมดคือสาระเปรียบเทียบอันตื่นตระการในปรากฏการณ์ของรวมบทกวีเล่มนี้..ที่จักต้องหยั่งเห็นเป็นมหรสพทางปัญญาในการเปรียบเทียบเหนือสภาวะแห่งตนแห่งตน..!
"วัวไม่รู้จักสิ่งโสโครก จึงไม่หันหลังให้สิ่งโสโครกใดๆ/มนุษย์ยาตราไปสู่ความงดงามสูงส่งทุกคนอย่างนั้นหรือ?/กี่คำถามของคน วัวไม่สงสัย กี่คำถามของคนวัวหันหลังให้/วัวหันหลังให้ความชื่นชมยินดีใดๆ ที่มนุษย์ประจักษ์แจ้ง/วุฒิภาวะอันหวานอมขมกลืนของมนุษย์ /ภาวะแตกดับตามคำกล่าวขวัญในนามของสัจจะความจริงแท้/วัวหันหลังให้ทุกเรื่องราว.."
นี่คือ..ถ้อยภาษาอันลึกซึ้งจากบทกวีแห่ง"คีตญาณ"มีเสียงดนตรีแห่งใจบรรเลงรมย์อยู่ในเวิ้งคิด..คราแล้วคราเล่า..มีอุดมคติแห่งท่วงทำนองของชีวิตตอกย้ำและเพ่งเล็งถึงความเชื่อศรัทธาให้ลุกโชนขึ้นอย่างเงียบงันแต่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ..อันวิจิตร..!
..มันสะท้อนแสงในเงามืดที่ส่องสะท้อนผ่านดวงตาของความไหวเคลื่อนที่ก้าวออกไป ...วิพากษ์เพื่อแก้ไข..สาปเเช่งเพื่อแบ่งปันสร้างสรรค์หัวใจใหม่อันเบิกบานดีงามขึ้นมาสู่โลก..ที่ไม่มีวันพ่ายแพ้และยอมจำนนต่ออวิชชาใดๆ..อีกครั้ง.!
"..ก้าวออกไปด้วยอิสระแห่งใจ..แม้อิสระแห่งใจนั้นจะเหลืออยู่เพียง..ลมหายใจก็ตาม..!"