เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมัน เพื่อรองรับการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ประเภทน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล โดยมีเป้าหมายไม่ให้ราคาขายปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการปรับขึ้น เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชนในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว
โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบน. ได้มอบหมายให้นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ทำการวิเคราะห์และประเมินผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ประเภทน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล โดยพิจารณาความสามารถของกองทุนน้ำมันฯ ในการรองรับรายได้ที่น้อยลง และให้นำเสนอ กบน. พิจารณาปรับอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ประชาชนไม่ได้รับผลกระทบต่อค่าครองชีพในการดำเนินการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมัน พร้อมแจ้งข้อเท็จจริงต่อไป
นายพรชัย กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และปัจจัยทุกด้านแล้วประเมินได้ว่า กองทุนน้ำมันฯ สามารถปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรองรับการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ประเภทน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล ได้จนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.2568 อย่างไรก็ตามหากเกิดสถานการณ์วิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจนส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ ทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่อง จะเสนอให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิต พิจารณาปรับลดภาษีน้ำมันลง เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศให้อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม ซึ่ง กบน. ได้พิจารณาเห็นชอบปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนที่ 1 การปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเท่ากับอัตราภาษีสรรพสามิต และภาษีเพื่อราชการส่วนท้องถิ่น ตามมติคณะรัฐมนตรี และส่วนที่ 2 การพิจารณาค่าการตลาดที่เหมาะสม ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะส่งผลให้รายรับของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมัน ลดลงประมาณวันละ 49.57 ล้านบาทต่อวัน จากประมาณวันละ 393.97 ล้านบาทต่อวัน เป็นประมาณวันละ 344.40 ล้านบาทต่อวัน ขณะที่ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 4 พฤษภาคม 2568 ติดลบอยู่ที่ 47,779 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันติดลบอยู่ที่ 2,540 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบอยู่ที่ 45,239 ล้านบาท
นายพรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กบน.ยังคงยึดมั่นในการดำเนินงานภายใต้กรอบของพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันภายในประเทศ พร้อมยืนยันหลักการดำเนินงานที่ “เปิดเผย โปร่งใส และตรวจสอบได้” เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่า ทุกมาตรการมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ และประชาชน อย่างแท้จริง