ป่วยโควิดปี 68 พุ่ง 4.1 หมื่นราย เสียชีวิต 14 ศูนย์จีโนมฯ จับตา PA.1 กลายพันธุ์จาก JN.1
GH News May 08, 2025 04:02 PM

กรมควบคุมโรค เผยไทยป่วยโควิดสะสมกว่า 4.1 หมื่นราย เสียชีวิต 14 ราย ขณะที่ศูนย์จีโนมฯ จับตา PA.1 วิวัฒนาการจาก JN.1 ชี้ LP.8.1 หลบภูมิได้ดี ย้ำโควิดปรับตัวไม่หยุดยั้ง

จากกรณีพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่รายงานในระบบเพิ่มสูงขึ้นในระยะนี้ และมีแนวโน้มพบผู้ป่วยมากกว่าโรคไข้หวัดใหญ่ถึง 2 เท่า นั้น

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงข้อมูลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ตัวเลขผู้ป่วยสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 7 พฤษภาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสม 41,187 ราย เสียชีวิตสะสม 14 ราย

ทั้งนี้ ข้อมูลผู้ป่วยจำแนกตามกลุ่มอายุคิดสัดส่วนต่อแสนประชากร ได้แก่ อายุ 0-4 ปี อัตราป่วย 109.4, อายุ 5-9 ปี อัตราป่วย 28.8, อายุ 10-14 อัตราป่วย 19.2, อายุ 15-19 ปี อัตราป่วย 24.8, อายุ 20-29 ปี อัตราป่วย 86, อายุ 30-39 ปี อัตราป่วย 95.6, อายุ 40-49 ปี อัตราป่วย 64.6, อายุ 50-59 ปี อัตราป่วย 44.3 และ อายุ 60 ปีขึ้นไป อัตราป่วย 62.6

ขณะที่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อัพเดตสถานการณ์เชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่ก่อโรคโควิด-19 ระบุว่า อัพเดตภูมิทัศน์สมรภูมิสายพันธุ์โควิด LP.8.1 ผงาด XEC ถอยทัพ และ PA.1 น่าจับตา

โดยภาพรวม การติดตามวิวัฒนาการของ SARS-CoV-2 ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง สายพันธุ์ LP.8.1 ซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก JN.1 ผ่าน KP.1.1.3 ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแพร่เชื้อที่เพิ่มขึ้น และหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดี กลายเป็นสายพันธุ์ที่แพร่หลายในหลายภูมิภาคในช่วงต้นปี 2025 ขณะที่ XEC ซึ่งเป็นสายพันธุ์ลูกผสม ซึ่งเคยมีสัดส่วนที่สำคัญ แต่เริ่มมีแนวโน้มลดลงในบางพื้นที่ เมื่อเผชิญกับการแข่งขันจาก LP.8.1 ทั้ง 2 สายพันธุ์นี้ ยังไม่พบว่าก่อให้เกิดความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับสายพันธุ์โอมิครอนอื่นๆ และวัคซีนที่มีในปัจจุบัน คาดว่าจะมีประสิทธิภาพป้องกันโรครุนแรง

สำหรับสายพันธุ์ PA.1 แม้จะสืบเชื้อสายมาจาก KP.1.1.3 เช่นเดียวกับ LP.8.1 แต่แผนภูมิสายวิวัฒนาการแสดงให้เห็นว่า มีเส้นทางวิวัฒนาการที่แตกต่างออกไป ปัจจุบัน PA.1 มีสัดส่วนการระบาดต่ำ แต่ตำแหน่งที่แตกต่างบนแผนภูมิ ทำให้เป็นที่น่าจับตามองสำหรับการเฝ้าระวังต่อไป

การอุบัติขึ้นของสายพันธุ์ใหม่ๆ เช่น LP.8.1 และ XEC เป็นเครื่องเตือนใจว่า SARS-CoV-2 ยังคงปรับตัวอย่างต่อเนื่อง การเฝ้าระวังทางพันธุกรรมอย่างเข้มแข็ง การประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ และการปรับปรุงมาตรการทางสาธารณสุข รวมถึงวัคซีนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อลดผลกระทบของการระบาดในอนาคต แม้ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกจะประเมินความเสี่ยงโดยรวมจากสายพันธุ์อย่าง LP.8.1 ว่าอยู่ในระดับต่ำ แต่ความตื่นตัวและการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นหัวใจสำคัญ

ทั้งนี้ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ ระบุถึงบริบททางวิวัฒนาการในภาพรวมและผลกระทบต่อสาธารณสุข ว่า สายพันธุ์ JN.1 ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ KP.1.1.3 (ที่เป็นต้นตอของ LP.8.1 และ PA.1) และสายพันธุ์อื่นๆ ที่สำคัญในปัจจุบัน ถือเป็นตัวอย่างของสายพันธุ์ “ผู้ก่อตั้ง” ที่ประสบความสำเร็จ และแตกหน่อออกเป็นสายพันธุ์ย่อยจำนวนมากที่มีลักษณะหลากหลาย

JN.1 เองก็เป็นลูกหลานของ BA.2.86 ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการอย่างมีนัยสำคัญ ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ คือ การเกิด “วิวัฒนาการแบบบรรจบ” (convergent evolution) โดยการกลายพันธุ์บางตำแหน่ง (เช่น F456L, R346T) ปรากฏขึ้นอย่างอิสระในสายพันธุ์ย่อยต่างๆ ของ JN.1 ซึ่งบ่งชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ อาจให้ความได้เปรียบแก่ไวรัสภายใต้แรงกดดันจากภูมิคุ้มกันในปัจจุบัน

การเกิดขึ้นของสายพันธุ์อย่าง LP.8.1 และ XEC รวมถึงวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องภายในตระกูล JN.1 ตอกย้ำถึงความสามารถของไวรัสในการปรับตัวอย่างไม่หยุดยั้ง สิ่งนี้ทำให้การเฝ้าระวังทางพันธุกรรมต้องเข้มแข็งและต่อเนื่อง รวมถึงการประเมินกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขเป็นระยะ ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงองค์ประกอบของวัคซีน เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง วัฏจักรต่อเนื่องของวิวัฒนาการของไวรัส (สายพันธุ์ใหม่ที่มีการกลายพันธุ์เพื่อหลบหลีกภูมิคุ้มกัน) และการตอบสนองของมนุษย์ (วัคซีน, ภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อครั้งก่อน) เปรียบเสมือน “การแข่งขันทางอาวุธ” ทางวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าการให้ความสำคัญส่วนใหญ่ มักจะอยู่ที่การกลายพันธุ์ของโปรตีนหนาม เนื่องจากบทบาทในการเข้าสู่เซลล์และเป็นเป้าหมายของแอนติบอดี แต่บทบาทที่เป็นไปได้ของการกลายพันธุ์นอกโปรตีนหนาม ในการมีอิทธิพลต่อลักษณะของไวรัส (ดังที่อาจเป็นกรณีของ LP.8.1) ก็ไม่ควรมองข้าม การเฝ้าระวังทางพันธุกรรมทั้งจีโนม จึงมีความสำคัญ ไม่ใช่เพียงแค่การถอดรหัสพันธุกรรมเฉพาะส่วนโปรตีนหนาม

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.