ขร.ขับเคลื่อนการขนส่งทุเรียนทางราง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลภาวะทางอากาศ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน พร้อมดันทุเรียนไทยไปจีน ปี 67 มูลค่า 1.57 แสนล้าน ตั้งเป้าปี 68 พุ่ง 2 แสนล.
กรมการขนส่งทางราง (ขร.) ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบรางให้เป็นทางเลือกหลักของการขนส่งสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยจัดกิจกรรม “DRT ขับเคลื่อนการขนส่งทุเรียนทางราง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลภาวะทางอากาศ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” และพิธีปล่อยขบวนรถไฟขนส่งทุเรียนไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ สถานีรถไฟมาบตาพุด จังหวัดระยอง
วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ดร. พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทาง เผยว่า กิจกรรมวันนี้ป็นการต่อยอดจาก “โครงการศึกษาและจัดทำมาตรการกำกับดูแลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดมลภาวะทางอากาศในภาคขนส่งทางราง” ที่กรมการขนส่งทางรางได้ดำเนินการขึ้น เพื่อนำผลการศึกษาจากโครงการมาประยุกต์ใช้จริงในเชิงนโยบายและปฏิบัติการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของระบบรางในฐานะทางเลือกเชิงกลยุทธ์สำหรับการขนส่งสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาในมิติด้านต้นทุน ความน่าเชื่อถือด้านเวลา ปริมาณการขนส่งต่อเที่ยว และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
สำหรับการปล่อยขบวนรถไฟขนส่งทุเรียนครั้งนี้ มีคณะผู้บริหาร ขร. ผู้แทนจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ผู้ประกอบการส่งออกทุเรียนในพื้นที่ภาคตะวันออก นำโดยบริษัท แพน-เอเชีย ซิลค์โรด จำกัด (PAS) และพันธมิตร รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยานในการปล่อยขบวนรถไฟเส้นทางมาบตาพุด–หนองคาย–จีน รวมระยะทางกว่า 1,750 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นการเปิดฤดูกาลขนส่งทุเรียนทางรางประจำปีอย่างเป็นทางการ
ดร. พิเชฐ กล่าวว่า ทุเรียน ถือเป็นผลไม้ส่งออกที่มีมูลค่าสูงที่สุดของประเทศไทยและเป็นผลไม้ที่มีความต้องการสูงในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการส่งออกถึง 97% โดยในปี 2567 มีมูลค่าส่งออกทุเรียนสดและแช่แข็งรวมกว่า 157,506 ล้านบาท โดยเฉพาะทุเรียนสดที่มีมูลค่าสูงสุดในเดือนพฤษภาคม 2567 ถึงกว่า 4.3 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในปี 2568 ผลผลิตทุเรียนทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นกว่า 37% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นปริมาณรวมราว 1.767 ล้านตัน รายได้ประมาณ 200,000 ล้านบาท โดยแหล่งผลิตหลักอยู่ในภาคตะวันออก เช่น จังหวัดระยอง จันทบุรี และชุมพร ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อ GDP ภาคเกษตรและการจ้างงานในห่วงโซ่อุปทานทุเรียน โดยที่ผ่านมาการขนส่งทุเรียนของไทยได้พึ่งพาการขนส่งทางถนนเป็นหลัก ทั้งที่การขนส่งทางถนนนั้นมีข้อจำกัดด้านต้นทุน เวลา และความเสี่ยงต่อคุณภาพของผลไม้
อย่างไรก็ตามระยะหลังประเทศไทยได้หันมาปรับเปลี่ยนการขนส่งผลไม้ และทุเรียนผ่านทางราง แทนการขนส่งทางถนนให้มากยิ่งขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2566 นั้น ปริมาณการขนส่งผลไม้ทางรางระหว่างไทยไปยัง สปป.ลาว มีปริมาณการขนส่งมากถึง 708 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 17,700 ตัน และในปี 2567 มีปริมาณการขนส่งผลไม้ทางรางจำนวน 1,108 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 27,700 ตัน ซึ่งถือได้ว่าปริมาณการขนส่งผลไม้ทางรางนั้นเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี โดยมีเส้นทางหลักในการขนส่งผลไม้ทางราง คือ เส้นทางจากมาบตาพุด – หนองคาย – ผ่าน สปป.ลาว ไปยังประเทศจีน ซึ่งการขนส่งทางรางในเส้นทางนี้นับเป็นก้าวแรกของการพัฒนาระบบรางให้รองรับผลไม้ไทยมูลค่าสูงอย่างเป็นระบบ ประกอบกับศักยภาพของเส้นทางนี้ซึ่งมีระยะทางรวมกว่า 1,750 กิโลเมตร ที่สามารถเชื่อมต่อโดยตรงสู่ตลาดจีนตอนใต้ เส้นทางรถไฟสายนี้จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเชิงกลยุทธ์สำหรับผลไม้ไทย ไม่เพียงทุเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึง มังคุด ลองกอง ลำไย และผลไม้เน่าเสียง่ายอื่นๆ ที่สามารถใช้ประโยชน์จากระบบรางในการลดระยะเวลาการขนส่งและรักษาคุณภาพสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ในส่วนของการขนส่งทางรางจากการศึกษาเปรียบเทียบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการขนส่งสินค้าทางถนนและทางราง พบว่า การขนส่งสินค้าทางถนนปล่อยก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ย 2.71 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อตู้คอนเทนเนอร์ ขณะที่การขนส่งทางรางปล่อยเพียง 0.96 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ลดลงได้มากกว่า 64.6% ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระบบรางเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า
ดร. พิเชฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า การส่งเสริมการขนส่งสินค้าทางราง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรมูลค่าสูงอย่างทุเรียน ถือเป็นภารกิจสำคัญของ ขร. ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และแนวนโยบาย Net Zero Emissions ที่ประเทศได้ประกาศต่อประชาคมโลก โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการนำผลการศึกษาทางวิชาการมาสู่การปฏิบัติจริง พร้อมกันนี้ ขร. ยังอยู่ระหว่างการพัฒนามาตรการส่งเสริมและแรงจูงใจเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง (Modal Shift) จากถนนมาสู่ระบบรางในวงกว้างมากขึ้นในอนาคต
"หากเป้าหมายการขนส่งทุเรียนทางรางจำนวน 23,000 ตันในปี 2568 บรรลุผลสำเร็จ จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 1,610 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ใหม่เพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนกว่า 26,680 ตัน ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ"
อย่างไรก็ตามกิจกรรมในครั้งนี้ยังนับเป็นเวทีสำคัญในการสื่อสารผลสัมฤทธิ์ของการบูรณาการงานวิจัยกับการกำหนดนโยบายสาธารณะ และเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่ดีของการส่งเสริม Green Logistics อย่างเป็นรูปธรรม โดยกรมการขนส่งทางรางจะดำเนินการติดตาม ประเมินผล และรวบรวมข้อมูลจากการดำเนินงาน เพื่อนำมาพัฒนารูปแบบการขนส่งทางรางให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และจัดทำมาตรการกำกับดูแลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคขนส่งทางรางให้เป็นมาตรฐานในระยะยาว