อ่ำ อัมรินทร์ ประสบความสำเร็จจนหลงระเริง ล่าจุดต่ำสุดของชีวิต เกือบตาย พลิกด้วยธรรมะ
อ่ำ อัมรินทร์ นิติพน ในวัย 56 มาเผยเรื่องราวชีวิตจากนักกีฬาดาวรุ่งสู่เด็กใจแตก กลายเป็นศิลปินดัง แชมป์รถแข่ง ชีวิตหลงระเริง ติดลบ ร่างพังจนเกือบลาโลก เจ็บสุด ต่ำสุด ก่อนพลิกกลับมาด้วยพลังธรรมะ ใครที่คิดว่าชีวิตกำลังพัง ดูแล้วอาจเปลี่ยนความคิดคุณไปทั้งชีวิต ในรายการใหม่ LIFE DOT โดยมี ก้อง อรรฆรัตน์ นิติพน รับหน้าที่เป็นพิธีกร
ช่วงวัยเรียนสิ่งที่จำได้ที่รู้สึกว่าดีจังเลย?
“ได้เล่นกีฬา น่าจะเป็นคนที่มีความสามารถทางด้านกีฬาที่หลากหลาย ได้เป็นนักกอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทยตอนนั้นอายุ 10 ขวบ แต่ตอนนั้นสังคมกีฬากอล์ฟมันค่อนข้างเล็กในกลุ่มของผู้ปกครองและเด็ก ดีที่สุดคือเป็นแชมป์เยาวชนเอเชีย เป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศ ถือเป็นโมเมนต์ที่จดจำในวัย 11 ปี รู้สึกดีมาก ซึ่งมีความภูมิใจในตัวเองอันหนึ่ง”
แล้วมีอะไรด้านลบไหม?
“พอหลังจากนั้นมาชีวิตก็โตขึ้นเจริญพันธุ์ (หัวเราะ) ใจแตก แต่ก็ยังเป็นนักกีฬาโรงเรียนอยู่ และก็เป็นนักกีฬาเยาวชนกอล์ฟยังอยู่ทีมชาติไทยอยู่ ตอนนั้นในช่วงอายุ 15 คุณพ่อฝากเงินไว้ให้ทุกอาทิตย์ จะให้เงินมาก้อนหนึ่งแล้วแบ่งครึ่งหนึ่งฝากธนาคารไว้ตั้งแต่อยู่ ม.1 แล้ว พอ ม.3 มันก็จะมียอดอยู่ประมาณหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเราก็เที่ยวแล้วก็ใช้เงินประจําอาทิตย์ไม่พอ แล้วอยากเที่ยวเตลิดเปิดเปิงแบบไม่ต้องเรียน ไม่ต้องเรียนไปเที่ยวอย่างเดียว มีไปเที่ยว ไปเล่นสเก็ต ไปเที่ยวดิสโก้เทคกลางคืน เราก็ไปปิดบัญชีเด็กชาย อัมรินทร์ นิติพน ตอนนั้นน่าจะมีเงินอยู่ประมาณ 80,000 บาท สมัย 40-50 ปีที่แล้วก็เยอะนะครับ สามารถซื้อรถซื้ออะไรได้เลย รถคันละ 3-4 หมื่น เองยุคนั้น ปิดบัญชีไม่พอเอาไม้กอล์ฟตัวเองซึ่งถือได้ว่าเป็นอาวุธประจํากายในการใช้ในการแข่งขันไปขาย เพื่อไปเที่ยวระเริง ท่องราตรีดีกว่า”
มันสนุกขนาดไหนถึงต้องทํา?
“คือตอนนั้นชีวิตแสงสีกับเด็กเพิ่งโตมา มันเป็นอะไรที่ใหม่มาก คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันใช่ไหมครับ เราก็บอกว่าเรานอนบ้านแม่นะคืนนี้ แต่กลางคืนก็ไม่กลับเราก็ไปเที่ยวไหนต่อไหน ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่เริ่มเหลวแหลก อันนั้นก็จะเป็นจุดเปลี่ยนอันหนึ่ง ช่วงที่โดดเรียน ช่วงที่ไปเที่ยวใจแตกคือไม่เข้าเรียนเทอมนึงก็เลยทําให้เป็นคนที่ไม่จบ ม.6 พร้อมเพื่อน เพื่อนไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันหมดแล้ว เราต้องไปเรียน ม.4 เทอม 1 ใหม่ ก็ใช้ชีวิตให้เรียนจบ ม.6 ให้จบอายุ 18 พอเริ่มต้นฤดูการศึกษาใหม่แล้วก็ไป สมัครเรียนที่ ม.เกษมบัณฑิต แล้วก็ไม่ชื่นชอบในการศึกษาเหมือนเดิมก็ไปนั่งอยู่กับพวกก่อสร้าง ไปนั่งดื่มเหล้าขาว ไปอยู่กับพวกก่อสร้าง เพื่อนเรียนวิศวะก็ไปนั่งกับพวกวิศวะ ทั้ง ๆ ที่เราเรียนนิเทศฯ พอสอบผลสอบมาก็คือตกหมด”
หลายคนอาจรู้จัก อ่ำ อัมรินทร์ ในฐานะศิลปินนักร้อง?
“เริ่มมาจากคุณพ่ออีกเหมือนกันคุณพ่อตอนเด็กๆ เล่นดนตรี เป็นนักดนตรีของกรมตํารวจ แล้วก็มีเครื่องดนตรี มีอิเล็คโทน แล้วก็สอนให้เราเล่นดนตรี แล้วก็มีความชื่นชอบในด้านของการดนตรีอยู่ เสร็จแล้วพอยุคนั้น พอเราอายุ 18 มันมีวงไมโคร มีอัสนี ออกมา เราก็บอกทําไมมันเท่อย่างนี้ เราอยากเป็นอย่างไมโคร อยากเป็นอย่างพี่หนุ่ยจังเลย พอดีพี่ข้างบ้านเขามีวงดนตรีแล้วขาดนักร้องนํา พอตอนอายุ 18 เราก็เคว้งคว้าง เราก็ตีกอล์ฟอยู่กับพ่อด้วย แล้วเราก็ได้รับคําชวน จากพี่ข้างบ้านด้วย เราก็เลยไปอยู่วงเขา ไปอยู่กับวงรามเกียรติ์ พยายามที่จะมีผลงาน คือสมัยก่อนเรียกว่าออกเทป ก็มีเดโมเทป มีถ่ายภาพไปเสนอตามค่ายต่างๆ”
จําวันแรกที่เทปวางแผงได้ไหม?
“พูดถึงโมเมนต์ในตอนนั้นที่แบบว่าดีใจมาก คือเราได้เห็น พี่เต๋อ เรวัต เราไปเข้าไปเซ็นสัญญากับพี่เต๋อ เราได้คําแนะนําจากพี่เต๋อ เราได้เจอปูชนียบุคคลในวงการเพลงของแกรมมี่หลาย ๆ คน เราเจอวงไมโครตัวเป็น ๆ อายุ 25 ก็มีผลงานตัวเองแล้วก็ใช้ชีวิต ในโอกาสนั้นก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของชีวิต ถึงแม้ว่าในช่วงนั้นยอดขายมันไม่ได้ดีเหมือนที่เขาคาดหวังกันไว้ แต่เราก็รู้สึกว่ามันก็เป็นช่วงชีวิตที่ดีของเรานะ แต่ก็ผิดหวังอันหนึ่งก็คือไม่ได้เป็นไปตามยอดขายที่แกรมมี่เขาตั้งไว้ ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์ก็อาจจะไม่มีชุด 2 อะไรอย่างนี้ครับ ก็ดาวน์ ๆ อยู่ชีวิตช่วงนั้น อย่างน้อยก็ได้ออกเพลงหนึ่งแล้ว ได้ออกอัลบั้มมาชุดหนึ่งละ ได้ทำต่อหรือไม่ได้ทำก็ไม่รู้ ตอนนั้น Y NOT 7 กําลังดัง แล้วเราไปทัวร์คอนเสิร์ต กับ Y NOT 7 ขึ้นไปร้องกับวง Y NOT 7 ทางบริษัทแกรมมี่เขาเห็นว่า เราน่าให้โอกาสก็ไปเปลี่ยนรูปแบบของเพลง ให้มาอยู่ในแนวร็อค ซึ่งเราชอบแนวนี้อยู่แล้ว แต่ชุดแรกมันอาจจะเป็นป๊อบ ๆ กรุ๊งกริ๊ง ไปหน่อยได้ไปต่อ
รวมทั้งหมดแล้วออกกี่อัลบั้ม?
“เอาเพลงรวมฮิตเพลงประกอบละคร ถ้ารวมหมดเลย ก็ 11 ได้มั้ง กราฟชีวิตในช่วงชีวิตนั้นน่าจะเอาไป 10 เลยครับผม ในช่วงชีวิต 18 – 36 ปีได้เจออะไรดี ๆ ในชีวิตเยอะมากเลย”
แล้วมีจุดที่ควรจะปรับปรุงมันแย่เหลือเกินไหม ?
“พฤติกรรม ความประพฤติของตัวเอง หลังจากที่ได้ประสบความสําเร็จ แน่นอนเลยความหลงระเริงมันมา หลงระเริงในตัวเองที่มียอดขายที่ดีขึ้น ทําประโยชน์ให้บริษัทมากขึ้น มีรายได้มากขึ้น อยากหยิบฉวยหยิบจับอะไร อยากทําอะไร เริ่มตามใจตัวเองมากขึ้น อยากซื้อรถคัน ไหน อยากได้อะไรชี้เอา อยากกินอยากอะไรสั่งเอา ใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายมากในการดื่ม โอเคไปทัวร์คอนเสิร์ตเราดื่มกันอยู่แล้วร็อคแอนด์โรล กลับบ้านแล้วก็ยังเป็นร็อคแอนด์โรลอยู่ ดื่มเสร็จเริ่มไปทํางานไม่ไหว เริ่มเบี้ยวงาน ไปกองเอ็มวีไม่ทัน เอางี้ดีกว่าไม่รับผิดชอบแล้วกัน”
สิ่งที่เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ ?
“การหลงระเริง แล้วก็มี A-Time จัดคอนเสิร์ต ตอนนั้นอัลบั้มชุดนิราศร็อกออกใหม่ๆ พี่ฉอดจัดคอนเสิร์ตที่สยามสแควร์ แต่ผมก็ดื่มกินตามประสา กินจนเลยกำหนดที่จะต้องไปงาน ไม่ไหวอีกแล้ว ก็มีโทรศัพท์โทรตามจากค่ายแกรมมี่ว่าให้ไปงานเดี๋ยวนี้นะ คือวงไปรอแล้ว เราไม่เอานอนดีกว่า แล้วก็มีคนใช้มาปลุกอยู่ตลอดเวลาว่าให้ไปรับโทรศัพท์ สุดท้าย พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค โทรมาบอกว่าให้ไปงานพี่ฉอดที่สยามด้วยครับ ถ้าไม่ไปก็จะงดการโปรโมทอัลบั้มชุดนี้ และไม่มีผลงานอีกต่อไป เราจะจบสิ้นกันแต่เพียงแค่นี้ ก็อาบน้ำอาบท่าแต่งตัวไปขึ้นรถไฟฟ้าไปถึงที่สยาม ลงรถไฟฟ้าขึ้นเวที ร้องเพลงแล้วก็จบงาน แล้วก็กลับมา มีหมายให้เข้าตึก แล้วก็เข้าไปขอโทษพี่ฉอด ซึ่งผมก็ขอโทษพี่ฉอดหลายๆ ครั้งแล้ว แล้วก็มีพวงมาลัยไปออกรายการพี่ฉอดแล้ว ครั้งนั้นก็น่าจะเป็นช่วงที่ตกต่ำสุด ในการใช้ชีวิตหลงระเริง ไม่รับผิดชอบ
มาถึงจุดสูงสุดของชีวิตที่มีความสุข?
“ชีวิตมันก็ลุ่มๆ ดอนๆ ในการใช้ชีวิต มันก็ถือว่าเปื่อยเต็มที่แล้ว แล้วก็มีความรู้สึกอยากจะมีครอบครัวก็เลยแต่งงาน อายุ 33 ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก มันเริ่มมาจากคุณพ่อเห็นเราแบบไม่ไหว มีรายได้แต่สุรุ่ยสุร่าย ให้ปลูกบ้านให้มีบ้าน ให้มีที่อยู่ ให้มีครอบครัว ก็เลยตัดสินใจแต่งงาน มันเป็นเรื่องของลิขิตว่าเราต้องเจอคนนี้ เพื่อเราจะได้มีชีวิตเป็นแบบนี้ มันอาจจะมีดีมาก อาจจะมีไม่ดี แต่สุดท้ายถ้าไม่มีคนนี้ชีวิตเราจะเป็นวันนี้หรือเปล่า แล้วยิ่งมีลูกมันก็คือแบบที่สุด การที่ได้เห็นหน้าลูก น้องแอลลี่มองหน้าเด็กคนนั้นแล้วแบบว่าเราจะดูแลเขายังไง จะต้องดูแลยังไงให้เขามีชีวิตอยู่ที่ดีได้ จะต้องทํายังไง ตั้งแต่มีแอลลี่มาชีวิตเราก็เป็นปกติ ไม่ดื่ม ไม่ได้ปาร์ตี้หามรุ่งหามค่ำ มันไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว
จากนั้นก็มีเรื่องของสุขภาพ?
“47 สุขภาพแย่มาก ใช้คําว่าถ่อยที่สุดในชีวิตเลย เป็นคนที่เดินเหินกระฉับกระเฉงมาตลอดชีวิตเป็นนักกีฬา แต่ผลจากการที่วิเคราะห์เลยนะ ผลจากกรรมที่ตัวเองทําในการดื่มกินใช้ชีวิต มันก็เลยมีผลมาถึงอายุ 47 ซึ่งตอนนั้นมีความเครียดสะสมในเรื่องของงาน ในเรื่องของการเปลี่ยนผ่านทีวี ซึ่งเราทําทีวีอยู่ทํารายการอยู่ครับ มันเปลี่ยนเป็นทีวีดิจิตอล เราก็มีความมุ่งมั่นว่าอยากจะทํารายการเสนอตามช่องอะไรต่างๆ เริ่มลงทุนในการผลิตรูปแบบรายการต่างๆ เสนอช่อง เสร็จแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราหวังไว้ เลยรู้สึกผิดหวัง กลับมาดื่มกินหนักขึ้น หนักขึ้น ทําให้เกิดโรค ไปตรวจดูมียูริคต่ำมากอาการเริ่มหนักขึ้น เริ่มปวดข้อมือ เริ่มใช้การมือไม่ได้ เดินไม่ได้ ตัวเริ่มแข็ง นอนเหยียดตึง อยู่แต่ในบ้านอย่างเดียว แล้วกล้ามเนื้อที่เคยขยับเขยื้อนเล่นเวท ออกตีกอล์ฟ เริ่มขยับไม่ได้ แขนเริ่มลีบ สุดท้ายผอม จากหนัก 82 แต่มีกล้ามเนื้อลงมาถึง 69 มือบวมหนักมาก อายคนถึงขนาดต้องเอาผ้าพันแผลมาพันไว้ ไม่ให้คนเห็นมือตัวเองที่เป่งและกําไม่ได้ สรุปแล้วมันคือโรครูมาตอยด์ โรคกระดูกอักเสบรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุ คือภูมิแพ้ตัวเอง เดินไม่ได้ ขยับอะไรไม่ได้ ทํางานไม่ได้ เริ่มทําอะไรไม่ได้ เริ่มขายของ ขายทรัพย์สมบัติอะไรของตัวเองที่มีจนหมด ไม่เหลืออะไร เป็นอยู่ 3 ปี หนักมาก ใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ ความหวังมันไม่มีเลย ริบหรี่มาก เรายังไม่รู้เลยว่าเราจะกํามือได้เมื่อไหร่ แล้วเราไม่ได้ตีกอล์ฟแล้ว ไม่ได้ดูแลสิ่งที่เรียกว่าตัวเรา”
ผ่านมาได้ยังไง?
“มีความคิดว่ามันถึงเวลาที่มันคงต้องไป ถึงขั้นนั้นแล้วนะ เพราะทําอะไรไม่ได้แล้ว เป็นซากแล้ว ตรอมใจ พูดกับตัวเองแล้วก็ร้องไห้อยู่ในกระจก สงสารตัวเองมาก คนรอบข้างอยู่ พ่อแม่ พี่น้อง ครอบครัว ที่เขายังคอยความหวังว่าเราจะกลับมาได้ยังไง เราจะต้องกลับมาให้ได้ เราเป็นที่ห่วงของครอบครัวอยู่ ก็พยายามจะเเข็งใจ เริ่มเปลี่ยนชีวิตใหม่ จากที่เดินไม่ได้ ก็เริ่มพยายามจะขยับให้ได้ หาจุดยึดเหนี่ยว มีความศรัทธาหลาย ๆ อย่าง เลื่อมใสในพุทธศาสนา ไปปฏิบัติตัวในการบวชถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 แล้วเราก็เริ่มปฏิบัติตัวดี ยึดมั่นในศีล”
กลับมาเป็นร่างนี้ได้ เพราะอะไร?
“เพราะเราเองครับที่ให้กําลังใจตัวเอง ที่มีสิ่งที่ยึดมั่นที่ดี อยู่ได้ด้วยศีลของเรา ที่คอยคุ้มครองเราทั้งหมด มันอาจจะผิดพลาด ผิดหวัง สมหวังอะไรไป มันเป็นชั่วขณะ แค่นั้นเอง แต่สุดท้ายคือที่รอดตายมาได้ก็สติ ที่กลับมาทําอะไรได้อย่างที่ตัวเองตั้งใจไว้หลังจากที่สูญสิ้น หมดสิ้นไปแล้ว หมดหวังไปแล้ว แล้วเรากลับมาได้ก็อยู่ที่ตัวเองที่ตั้งใจที่จะทําอะไรให้มันดีกับตัวเองซะก่อน ก่อนที่จะไปหวังว่าเราจะต้องประสบความสําเร็จ เป้าหมายรายการเราก็คือว่าได้มองภาพใหญ่กรอบของชีวิตว่า ได้เห็นว่าวันที่เราขึ้น วันที่เราลง วันที่เราสุข วันที่เราติดลบ อะไรก็แล้วแต่ มันเกิดขึ้นกับตัวเรา ผ่านมาได้เพราะตัวเรา”