แมนยู VS สเปอร์ส นัดชิงยูโรป้าที่น่าหมั่นไส้ที่สุด?
รอบชิงชนะเลิศฟุตบอล ยูโรป้าลีก ฤดูกาลนี้ กลายเป็นไฮไลต์ที่แฟนบอลหลายคนน่าจะตั้งตาคอย เมื่อทีมดังจากพรีเมียร์ลีกโคจรมาพบกัน ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์
ทั้ง 2 ทีมเข้ารอบชิงมาด้วยสกอร์สุดโหด ปีศาจแดงถล่ม แอธเลติก บิลเบา แบบไปกลับ 7-1 ส่วนไก่เดือยทองเอาชนะทีมม้านอกสายตา โบโด/กลิมต์ สบายๆ 5-1 ในรอบตัดเชือก
แมนยูมีลุ้นคว้าแชมป์ยูโรป้าลีกครั้งที่ 2 ในรอบ 8 ปี โดยครั้งสุดท้ายที่พวกเขาทำได้คือฤดูกาล 2016-17 ในยุคของกุนซือ โชเซ่ มูรินโญ่
ขณะที่สเปอร์สลุ้นความสำเร็จในบอลถ้วยยุโรปครั้งแรกในรอบ 41 ปี และยังเป็นการลุ้นแชมป์รายการใดๆ หนแรกในรอบ 17 ปีอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นแมนยูหรือสเปอร์ส ความสำเร็จในบอลถ้วยยูโรป้าลีกนี้อย่างน้อยจะทำให้แฟนบอลมีเรื่องให้ฉลองครั้งใหญ่หลังจากต้องเจอกับความผิดหวังมาเกือบตลอดฤดูกาล
ในแง่สถิติ นับเฉพาะผลงานในฤดูกาลนี้ สเปอร์สเอาชนะแมนยูได้แล้วถึง 3 นัด คือการบุกถล่ม 3-0 ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด และชนะในบ้าน 1-0 นอกจากนี้ยังเฉือนชัยไปสนุก 4-3 ในถ้วยคาราบาวคัพ
จากการพบกัน 6 นัดหลังสุด สเปอร์สชนะได้ถึง 4 นัด ขณะที่แมนยูเก็บชัยครั้งสุดท้ายได้ในเกมพรีเมียร์ลีกย้อนไปเมื่อเดือนตุลาคมปี 2022 นู่นเลย
แต่สิ่งที่แมนยูมีมากกว่าสเปอร์สคือประสบการณ์ในการคว้าแชมป์ อย่างน้อยที่สุดใน 2 ฤดูกาลหลัง พวกเขาก็ยังมีแชมป์ติดมือ คือถ้วยคาราบาวคัพฤดูกาล 2022-23 และถ้วยเอฟเอคัพฤดูกาลที่แล้ว
แม้แต่ พอล สโคลส์ ตำนานแข้งปีศาจแดงในยุครุ่งเรืองก็ยังเชื่อว่า เมื่อถึงเวลาสำคัญ ทีมรักของเขาก็จะทำในสิ่งที่ต้องทำให้ลุล่วงได้ โดยเปรียบเทียบว่าประวัติศาสตร์ของแมนยูคล้ายๆ กับ รีล มาดริด ในแง่ที่ว่าถึงฟอร์มจะไม่ดีเท่าไร โดยเฉพาะในเกมลีก แต่ก็มักจะไปได้ไกลหรือไปถึงแชมป์ในบอลถ้วย แม้แต่บอลถ้วยยุโรป
อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่น่าจะเป็นแรงจูงใจให้ทั้ง 2 ทีมฮึดคว้าแชมป์ให้ได้อย่างมากก็คือแชมป์ยูโรป้าลีกจะได้สิทธิไปเตะยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลหน้า ซึ่งหมายถึงรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นมหาศาลกว่าการไม่ได้ไป ทั้งจากส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ถ่ายทอด ตั๋วเข้าชมการแข่งขัน และรายได้จากสิทธิประโยชน์กับการขายสินค้าอีกมากมาย
โดยเฉพาะกับทีมที่กำลังเข้าใกล้วิกฤตการเงินว่าด้วยการทำผิดกฎผลกำไรและความยั่งยืนอย่างปีศาจแดง หากได้แชมป์นี้จะมีความหมายมากๆ
ประการหนึ่งเพราะสถานการณ์ในลีก ณ ปัจจุบัน แมนยูอยู่อันดับ 15 ส่วนสเปอร์สอยู่อันดับ 16 ไม่ใช่แค่หมดลุ้นไปเตะบอลยุโรป อันดับที่เข้าขั้นเกือบอยู่ในโซนหนีตายนี้ยังทำให้ทั้ง 2 ทีมเป็น “ตัวโจ๊ก” ของแฟนบอลร่วมลีกอย่างมาก
ผลงานย่ำแย่ของทั้ง 2 ทีมทำให้การเข้าชิงครั้งนี้เป็นการชิงกันของทีมที่อันดับในลีกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขัน โดย ออปต้า บริษัทวิเคราะห์สถิติด้านกีฬาระดับโลก เก็บข้อมูลตั้งแต่ยูโรป้าลีกเริ่มรีแบรนด์เมื่อฤดูกาล 2009-10 จนถึงปัจจุบัน ปรากฏว่าทีมที่เข้าชิงชนะเลิศบอลยุโรปถ้วยรองนี้นั้น ไม่เคยมีทีมไหนที่อันดับในลีกต่ำกว่าอันดับ 12 ของฤดูกาลนั้นๆ เลย โดยหนที่ทีมอันดับแย่ที่สุดคือตอน เซบีย่า ทีมอันดับ 12 ของลาลีก้า คว้าแชมป์ปี 2023 และตอน ฟูแล่ม ทีมอันดับ 12 ของพรีเมียร์ลีก เข้าชิงในปี 2010
ก่อนถึงเกมเตะรอบรอง อังเก้ ปอสเตโคกลู กุนซือไก่เดือยทอง เคยเม้งแตกไปทีหนึ่ง โดยเปรยว่า การที่ทีมเข้ามาถึงรอบนี้น่าจะทำให้หลายคนไม่พอใจ โดยตั้งคำถามย้อนกลับไปถึงกรณีที่ อาร์แซน เวนเกอร์ ตำนานกุนซือ อาร์เซน่อล ที่ปัจจุบันเป็นประธานฝ่ายพัฒนาฟุตบอลของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ให้สัมภาษณ์สื่อว่า แชมป์ยูโรป้าลีกไม่ควรได้ไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลถัดไป
อังเก้บอกว่า กฎนี้ไม่ได้เพิ่งมาเริ่มใช้ แต่มีมานานแล้ว ตอนปีอื่นๆ ไม่เห็นมีใครมีปัญหาหรือตั้งคำถามเรื่องนี้ แต่มาปีนี้กลับจะมีปัญหาขึ้นมา พอจบรอบรอง เขาก็สำทับอีกว่า ไม่ว่าจะเป็นทีมอันดับ 1, 2 หรือ 3 ในพรีเมียร์ลีก ก็ไม่มีใครได้เข้าถึงรอบชิงบอลถ้วยยุโรปเลย ขณะที่ทั้งสเปอร์สและแมนยูผ่านเข้ารอบชิงอย่างสมศักดิ์ศรี จึงไม่สนใจเสียงนกเสียงกาใดๆ ทั้งสิ้น
สำหรับรอบชิงชนะเลิศที่เมืองบิลเบา ประเทศสเปน ในวันพุธที่ 21 พฤษภาคมนี้ ออปต้าให้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์คำนวณโอกาสลุ้นแชมป์ของทั้ง 2 ทีม ปรากฏว่า แมนยูมีโอกาสมากกว่าเล็กน้อยที่ 50.7 เปอร์เซ็นต์ ส่วนสเปอร์สมีโอกาส 49.3 เปอร์เซ็นต์ เรียกว่าแทบจะเท่าๆ กัน
ศึกแห่งศักดิ์ศรีที่มีตั๋วลุยแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นเดิมพัน ด้วยชื่อชั้นศักดิ์ศรีและอันดับตารางปัจจุบันของ 2 ทีมที่เข้าชิง เชื่อว่างานนี้กองเชียร์และกองแช่งทั่วโลก คงติดตามด้วยใจระทึกอย่างแน่นอน