ยกให้เป็นหนึ่งในโจทย์ใหญ่ ที่หลายคนตั้งคำถามต่อยูเครน ประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มประเทศพันธมิตรตะวันตก ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา ตลอดช่วง 3 ปีกว่าที่ผ่านมาของการทำสงครามกับรัสเซียว่า เพราะเหตุใดยูเครน ยังคงเสียเปรียบในการต่อกรกับกองทัพรัสเซีย แทนที่จะได้เปรียบ เนื่องจากมีหลายชาติของกลุ่มประเทศตะวันตกให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนสารพัด
ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนอุดหนุน อาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยต่างๆ รวมไปถึงการให้คำที่ปรึกษาทางการทหาร ตลอดจนด้านข่าวกรองที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการสู้รบ
ถึงขนาดที่มีรายงานว่า ทหารยูเครนสามารถสังหารทหารรัสเซียได้เป็นจำนวนมากในการทำสงครามสู้รบที่ผ่านมา
อย่างในรายงานของบรรดาสื่อมวลชนที่เกาะติดสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่เผยแพร่ครั้งล่าสุด ระบุว่า ในช่วงปีที่แล้ว ทหารยูเครนที่รบอยู่แนวหน้า สามารถสังหารทหารรัสเซียผู้รุกรานไปไม่น้อยกว่า 45,287 นาย หรือถ้าหากคิดเป็นอัตราเฉลี่ยอิงกับพื้นที่ก็จะพบว่า ทหารรัสเซียต้องสังเวยชีวิตเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่า 27 นายพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตรด้วยกัน ซึ่งถือว่า กองทัพรัสเซีย สูญเสียกำลังพลเป็นจำนวนมากอยู่
แต่ทว่า ยูเครน ก็ยังคงเสียเปรียบต่อรัสเซีย เมื่อกล่าวถึงสถานการณ์ของสงครามโดยรวม ที่ดำเนินมานาน 3 ปีกว่า เช่น การสูญเสียดินแดนของประเทศให้แก่กองทัพรัสเซีย เพราะกองทัพยูเครนแตกพ่ายในหลายเมืองแว่นแคว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภูมิภาคทางตะวันออกและทางใต้ของยูเครน 4 – 5 ภูมิภาคที่ต้องตกไปอยู่ในความครอบครองของรัสเซียอย่างที่ไม่มีวันนำหวนกลับมาได้ เช่น โดเนตสก์ ลูแกนสก์หรือลูฮันสก์ ซาปอริเซีย เคอร์ซอน และไครเมีย
แถมมิหนำซ้ำ กรุงเคียฟ เมืองหลวงของประเทศ ก็ยังถูกกองทัพรัสเซียถล่มโจมตีเป็นว่าเล่น แทบจะเป็นรายวัน ไม่นับเมืองอื่นๆ เช่น คาร์คีฟ เป็นต้น ที่ล้วนตกเป็นเป้าการโจมตีของกองทัพรัสเซีย จนพังพินาศไปตามๆ กัน
นอกจากนี้ แม้เมื่อกองทัพยูเครน เปิดเกมรุก บุกข้ามพรมแดนเข้าไปในภูมิภาคแคว้นเคิร์สก ก็มิอาจตรึงกำลัได้ถาวร ยึดได้ไม่กี่เดือน ก็ต้องถอยทัพกลับออกมาอย่างสะบักสะบอม
โดยหนึ่งในปัญหาที่บรรดานักวิเคราะห์พูดถึงกันเกี่ยวกับเหตุปัจจัยที่ทำให้ยูเครนเสียเปรียบรัสเซียในสงครามที่พวกเขาเผชิญอยู่ก็คือ “ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน” ทั้งในแวดวง “รัฐบาล” ผู้บริหารปกครองประเทศ และภายใน “กองทัพ” รั้วปกป้องประเทศของยูเครน
ทั้งนี้ มีรายงานว่า เฉพาะเม็ดเงินของเหล่าชาติพันธมิตรตะวันตก ซึ่งนำโดยสหรัฐฯ ที่ระดมถมเข้าไปช่วยเหลือยูเครน รวมๆ กันแล้ว ก็ไม่น้อยกว่า 3.80 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ก็ทำให้เป็นคำถามกลับมาว่า เม็ดเงินจำนวนมหาศาลข้างต้นนั้น ถูกนำไปใช้ในกิจการทางทหาร เพื่อปกป้องประเทศของยูเครน มากน้อยเพียงใด หรือจะมีหายหกตกหล่น เป็นเบี้ยบ่ายรายทางเข้าไปในกระเป๋าของคนในคณะรัฐบาล และกองทัพยูเครนระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพ หรือไม่ก็อาจถูกดัดแปลงไปสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ของคนในคณะรัฐบาล ตลอดจนทหารระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพ
เช่นเดียวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่เหล่าชาติพันธมิตรตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ อีกเช่นกัน ได้ระดมลำเลียงเข้าไปสนับสนุนกองทัพยูเครน เพื่อใช้ในการสัประยุทธ์กับกองทัพรัสเซียนั้น ได้เข้าสู่ยุทธภูมิแนวหน้าในการปะทะอย่างเต็มอัตราศึกหรือไม่ หรือว่าจะมีอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนหนึ่ง ถูกผ่องถ่ายไปสู่แวดวงการซื้อขายอาวุธสงครามในตลาดมืด แทนที่จะใช้เป็นเครื่องมือต่อกรกับกองทัพศัตรูผู้รุกราน
นอกจากเงินทุนสนับสนุน และอาวุธยุทโธปกรณ์แล้ว แม้กระทั่งอาหารในหมวดสูทกรรมของกองทัพ ก็มีรายงานกระเส็นกระสายออกมาว่า ทุจริตคอร์รัปชันโกงกินกันสารพัดด้วยเช่นกัน
โดยปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในยูเครน เอาเฉพาะในกองทัพนั้น ล่าสุด ก็มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ของ “สำนักงานความมั่นคงแห่งยูเครน” หรือ “เอสบียู” (SBU : Security Service of Ukraine) ได้จับกุมทหารจำนวนหลายนาย ในข้อหาทุจริตยักยอกกระสุนปืนชนิดต่างๆ ตลอดจนกระสุนปืนครก รวมแล้วถึง 120,000 นัด ซึ่งกระสุนปืนเหล่านี้ แทนที่จะถูกส่งไปให้ทหารยูเครนที่ประจำการอยู่ในแนวหน้า ใช้ยิงปะทะกับข้าศึก ก็กลับกลายเป็นว่า สารพัดกระสุนปืนนับแสนนัดเหล่านี้ ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน โดยบางทีพวกมันอาจจะไปอยู่ในตลาดมือค้าอาวุธสงครามกันไปแล้วก็ได้
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า กระสุนปืน ค. ขนาด 120 มม. และกระสุนปืนใหญ่ขนาดต่างๆ ที่จะใช้อาวุธสำคัญ สำหรับการยิงโจมตีต่อต้าน หรือทำลายล้าง ข้าศึกแบบระยะไกลในวิถีต่างๆ ก็หายไปจากคลังสรรพาวุธ หรือคลังแสงของกองทัพยูเครนไปเป็นจำนวนมาก ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการสู้รบแนวหน้า ตามวัตถุประสงค์ของประเทศตะวันตกที่ให้การช่วยเหลืออีกเช่นกัน
ทั้งนี้ เมื่อว่ากันถึงตัวบทกฎหมายในการลงโทษ สำหรับ ผู้กระทำผิดในข้อหาทุจริตคอร์รัปชันในลักษณะข้างต้นที่ยูเครนแล้ว หากศาลพิจารณาแล้วว่ามีความผิดจริง ก็จะถูกจำคุกเป็นเวลาถึง 15 ปี
เมื่อว่าถึงปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในยูเครน ดูเหมือนว่า ทางกลุ่มประเทศพันธิมิตรชาติตะวันตก ก็รู้อยู่เต็มอกเหมือนกัน
ถึงขนาดที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของบางประเทศ อย่างนายไมค์ วอลท์ซ อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของทำเนียบขาว ซึ่งกำลังจะถูกโยกย้ายไปเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เอ่ยปากตราหน้าว่า ยูเครน ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชันมากที่สุดในโลก
ทว่า ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก เพราะเป็นปัญหาภายในของยูเครน โดยอย่างมากก็ทำได้แต่เพียงส่งเสียงสะกิดเตือนต่อรัฐบาลยูเครน ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ให้จัดการอย่างเข้มงวดจริงจังกับปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้น ซึ่งปัญหาดังกล่าว นอกจากจะส่งผลกระทบต่อการสู้รบของกองทัพยูเครนในการทำสงครามต่อต้านการรุกรานของกองทัพรัสเซียแล้ว ก็ยังอาจจะส่งผลต่อการพิจารณาในความช่วยเหลือของเหล่าชาติตะวันตกที่มีต่อยูเครนในอนาคตด้วยเหมือนกัน