27 เมษายน-3 พฤษภาคม  2568 ตัวเลขในระบบ “โควิด–19” รายงานไว้อยู่ที่ 8,446 ราย ที่ป่วยไปโรงพยาบาล ทั้ง “ผู้ป่วยนอก” และ “ผู้ป่วยใน”...ไม่รวมคนที่ติดเชื้อแล้วไม่ได้ไปรักษาที่โรงพยาบาล จะเห็นว่า...ป่วยกันทุกช่วงอายุ

ที่น่าเป็นห่วงคือ เด็กเล็กอายุ 0-4 ปี...ก็ป่วยกันเยอะทีเดียว ไม่ใช่แค่วัยทำงานและวัยสูงอายุ กทม.เคสเยอะสุด...เดี๋ยวเปิดเทอม ผู้ปกครองและคุณครูคงต้องช่วยกันดูแลเด็กๆให้ดี

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Thira Woratanarat (ป๊ามี้คีน)” ย้ำอีกว่า ติดกันตรึมจริงๆ...วัยรุ่นวัยทำงานจากไปปาร์ตี้ คอนเสิร์ต เด็กเล็กในสถานเลี้ยงเด็ก ผู้สูงอายุจากคนในครอบครัว และจากกิจกรรมประจำวัน...เวฟนี้ไม่เล็กเลย

และอาจเป็นเวฟที่ช่วยสะท้อนเรื่อง contagiousness...มีลักษณะของโรคติดต่อ, แพร่หลายง่าย รวมถึง long term sequelae ภาวะแทรกซ้อน...ผลที่ตามมาว่าจะมีมากน้อยกว่าสายพันธุ์เดิมในหลายปีที่ผ่านมา

“การมีสติ ไม่ประมาท รู้จักระมัดระวังตัว เป็นสิ่งจำเป็น”

ติดซ้ำซากบ่อยๆไม่ใช่เรื่องดี หลักฐานการแพทย์ชัดว่าเพิ่มเสี่ยง “ลองโควิด (Long COVID)”...เสี่ยงต่อปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน แพ้อะไรง่ายขึ้น มากขึ้น

เสี่ยงปัญหาหัวใจและหลอดเลือด ความคิดความจำ สมาธิ หลอดเลือดสมอง และเบาหวาน

“รู้กันดีว่าควรปฏิบัติอย่างไร ไม่หลงเชื่อข่าวลวง ปั่นให้ลุ่มหลงกัญชา สิ่งเสพติด ยาฆ่าพยาธิสมุนไพรผีบอก กลัวยากลัววัคซีนติดกันตรึมนะครับตอนนี้...”

พลิกแฟ้มข้อมูล The State Council Information Office of the People’s Republic of China เผยแพร่เอกสารวิชาการเรื่อง Covid-19 Prevention, Control and Origins Tracing : China’s Actions and Stance (30 เม.ย.68) เนื้อหาสำคัญเป็นเรื่องการปฏิเสธว่า...ไวรัสโรคโควิด-19 ไม่ได้หลุดออกมาจากแล็บของจีน

โดยอ้างถึงการตรวจสอบจากคณะทำงานเรื่องนี้ขององค์การอนามัยโลก นอกจากนี้ในบทท้ายยังมีการนำเสนอผลการศึกษาทั้งในคนและสัตว์ ที่ชี้ให้เห็นว่ามีการตรวจพบการติดเชื้อ

ในอเมริกา ก่อนหน้าที่จะมีการรายงานเคสโควิด-19 อย่างเป็นทางการ จึงเป็นไปได้ว่า...น่าจะมีการระบาดในอเมริกามาก่อน

และ...ตั้งข้อสงสัยว่าจะมีการหลุดรอดจากแล็บในอเมริกาหรือไม่ เรียกร้องให้มีการตรวจสอบ

สิ่งที่น่าสนใจคือ การงัดข้อกันระหว่าง “จีน” และ “อเมริกา” ไม่ได้มีเรื่องภาษีการค้าระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังขยายลามไปในเรื่องสุขภาพและอื่นๆด้วย

“ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร คงต้องคอยติดตามกันดูว่าจะมีการนำหลักฐานวิชาการต่างๆมาชี้แจงหักล้างคำกล่าวหา อธิบายที่มา หรือจะมีการดำเนินการศึกษาตรวจสอบที่มาของไวรัสอย่างไรต่อไป ในฐานะผู้รับชมรับฟังคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอดูข้อมูล เพื่อพิจารณากันไปตามเนื้อผ้า”

ใครสนใจอ่านรายละเอียดในเอกสารของจีน สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้...เหนืออื่นใด ไทยเราหลังสงกรานต์มาป่วยกันเยอะชัดเจน ทั้ง “โควิด–19” และ “ไข้หวัดใหญ่” เดือนนี้ก็จะเพิ่มต่อเนื่องหากประเมินจากแนวโน้มที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา

“การป้องกันตัว ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท เป็นเรื่องที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ”

ข้อมูลสัปดาห์ที่ 19 ตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค.2568 จนถึงปัจจุบัน (8 พ.ค.68)...คนป่วยจากโควิด-19 สูงกว่าไข้หวัดใหญ่ถึง 2 เท่า เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย...หากใครมีอาการป่วยตอนนี้ แต้มต่อในการเป็นโควิด-19 ต่อไข้หวัดใหญ่เท่ากับสองต่อหนึ่ง หรือแทงว่า...น่าจะมีโอกาสเป็นโควิด-19 ราว 67%

ในขณะที่หากย้อนดู 2 สัปดาห์ จะพบว่า “โควิด–19”...เสียชีวิตไป 2 ราย “ไข้หวัดใหญ่”...ไม่มีเสียชีวิต และหากย้อนดู 4 สัปดาห์ “โควิด–19”...เสียชีวิตไป 5 ราย “ไข้หวัดใหญ่”...เสียชีวิต 2 ราย

ซึ่งตัวเลขป่วยในระบบข้างต้นนี้ ไม่นับคนที่ไม่ได้มารับการรักษาที่โรงพยาบาล

ตอกย้ำธรรมชาติของโรค ติดเชื้อ...แพร่ให้คนอื่นได้ตั้งแต่ 2-3 วันก่อนมีอาการ ติดเชื้อ...ใช้เวลา 3-4 วันก่อนจะมีอาการป่วย ติดเชื้อ...อาจใช้เวลา 4-5 วันหลังเริ่มป่วยไวรัสจึงจะพีก ตรวจวันแรกๆอาจได้ผลลบ ดังนั้นจึงควรตรวจซ้ำ ติดเชื้อ... แยกตัว 5 วัน ยังมีโอกาสเพาะเชื้อขึ้น 50%, 7 วัน 25-30%,10 วัน 10%

ดังนั้นจึงควรแยกตัวให้เพียงพอ จนไม่มีอาการและตรวจซ้ำได้ผลลบ และใส่หน้ากากช่วยลดการแพร่เชื้อ

...ยิ่งหากเป็นการทำงานที่ต้องดูแลคนอื่นๆ ระบบต้องมีการตัดสินใจให้ถี่ถ้วน บริหารความเสี่ยงให้ดี คำนึงถึงหลักฐานวิชาการมากกว่าการใช้ความเชื่อความรู้สึก เพราะสุดท้ายแล้ว...กลัวคนทำงานไม่พอ ให้รีบกลับมาทำงาน แต่ป้องกันไม่ดี สถานที่ไม่ถ่ายเทอากาศ มีกิจกรรมที่ต้องคลุกคลีใกล้ชิดคนอื่น ทั้งคนให้...รับบริการ

สุดท้าย...ก็จะแพร่กันไปทั่วได้ เลือกให้สมดุลต้องมีแผนช่วยลดความเสี่ยงเสริมเข้าไปให้ครบถ้วน

ข้อมูลทางการแพทย์ตลอดหลายปีที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า การติดเชื้อโควิด-19 นั้นส่งผลกระทบต่อสมองและระบบประสาท...มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้เกิดการเสื่อมของสมองและระบบประสาทได้ในระยะยาว ประเทศต่างๆจึงควรพัฒนาระบบเฝ้าระวัง ติดตาม และทำการศึกษาอุบัติการณ์ของโรคประเภทประสาทเสื่อม

ปัจจุบันไทยเรามีคนติด “โควิด–19” กันเยอะ กระจายทุกช่วงวัย จึงควรระมัดระวัง ป้องกันตัว ช่วยกันเตือนคนใกล้ชิด ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะวัยเรียน วัยทำงาน หรือวัยสูงอายุ... ไม่ว่าจะครั้งแรกหรือติดซ้ำ ไม่ใช่เรื่องปกติและไม่ใช่เรื่องที่ควร สำคัญคือต้องดูแลตนเองให้ดีที่สุด