เสี้ยม!รัฐบาลระแวงกันเอง
GH News May 13, 2025 08:05 AM

ประเสริฐ ฉะคนปล่อยข่าว ภท. คว่ำงบ69 มุ่งเสี้ยมรัฐบาลระแวงกันเอง อนุสรณ์ ชี้ไม่มีเหตุที่พรรคไหน จะคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ทำประเทศเสียโอกาส ส่วน "กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์" สส.ชลบุรี ปชน. เผ่นซบ กล้าธรรม  อ้างทัศนคติไม่ตรงกัน ขณะที่ เรืองไกร ร้อง ป.ป.ช. สอบ ทวี สอดส่อง ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 234 ทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่ ปมส่งผู้ต้องขังรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
       
        นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวพรรคภูมิใจไทย (ภท.) จะไม่โหวตร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ว่า ทางพรรคภูมิใจไทย ออกมาชี้แจงแล้วว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง และที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็บอกมาตลอดว่าพร้อมผลักดันนโยบายของรัฐบาล จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาขวางร่างพ.ร.บ.งบฯ ที่เป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล

 นายประเสริฐ กล่าวว่า ตนมองว่าคนที่ปล่อยข่าวนี้ออกมามีเจตนาทำให้คนในรัฐบาลระแวงกันเอง แต่ส่วนตัวที่ได้ประชุมครม.ได้ทำงานร่วมกับรัฐมนตรีแต่ละพรรค ยังไม่เห็นประเด็นขัดแย้งในการทำงาน ทุกคนยังพร้อมให้ความร่วมมือการเดินหน้าภารกิจของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ จึงมั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาลว่าจะสามารถทำงานแก้วิกฤติต่างๆที่เจอในขณะนี้ได้จนอยู่ครบวาระ และเชื่อว่าด้วยความเป็นผู้นำของน.ส.แพทองธาร ที่ให้เกียรติผู้ร่วมงานทุกระดับอย่างดี ทำให้การทำงานราบรื่น

 แม้จะมีคนพยายามปล่อยข่าวทำนองนี้มาหลายครั้งแต่เวลาที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่ามันไม่เป็นความจริง ครั้งนี้ก็เช่นกัน ขอให้ความมั่นใจประชาชนได้เลยว่ารัฐบาลจะเดินหน้าทำงานแก้วิกฤติและพัฒนาประเทศได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน นายประเสริฐ กล่าว

 ด้าน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกระแสข่าวที่บางพรรคการเมืองอาจไม่สนับสนุนร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ว่า ไม่มีเหตุผลที่พรรคการเมืองใดจะนำร่างงบประมาณ มาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองกันทางการเมือง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก คือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน การเดินหน้าพัฒนาประเทศ งบประมาณเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันและนำพาประเทศพัฒนาไปข้างหน้า พรรคการเมืองที่ถูกโยงว่าอยู่เบื้องหลังการเตรียมการโหวตคว่ำร่างพ.ร.บ. งบประมาณ ก็ออกมายืนยันแล้วว่าไม่เคยคิดและไม่มีประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น ในสถานการณ์ที่ประเทศชาติมีปัญหาหลายด้าน ทุกภาคส่วนควรร่วมด้วยช่วยกัน นำพาประเทศชาติและประชาชนออกจากวิกฤต คิดเรื่องการเมืองให้น้อยคิดเรื่องบ้านเมืองให้มาก ร่างงบฯ ปี 69 ไม่ใช่เครื่องต่อรองทางอำนาจ แต่เป็นกุญแจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส สร้างรายได้ให้ชุมชน และฟื้นฟูประเทศหลังวิกฤต

 ทั้งนี้ งบประมาณฉบับนี้ พิจารณาจัดทำด้วยระบบวิธีงบประมาณ เป็นผลจากกระบวนการที่เปิดกว้าง รอบคอบ มีการพิจารณาอย่างเป็นระบบจากทุกฝ่าย ไม่ใช่งบของพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่เป็นงบ ในการพัฒนาประเทศในทุกมิติของประชาชนทุกคน หากจะมีการคว่ำงบประมาณต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับโครงการสำคัญและคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การสาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา การสร้างงาน และการพัฒนาเชิงโครงสร้าง


 ในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังฟื้นตัวจากวิกฤตหลายด้าน ร่างงบฯ ปี 69 คือโอกาสวางรากฐานอนาคตประเทศ หากการเมืองยังเป็นอุปสรรค ก็เท่ากับปิดโอกาสของ ประเทศชาติและประชาชน นายอนุสรณ์ กล่าว
     
    วันเดียวกัน จากกรณีนายยอดชาย พึ่งพร สส.พรรคประชาชน เขต 9 (พัทยา-หนองปรือ) จ.ชลบุรี ได้กล่าวในระหว่างการเปิดเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยนายนิยม เที่ยงธรรม ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองหนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา ถึงกรณีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งยื่นข้อเสนอให้เงิน 55 ล้านบาท พร้อมเงินเดือนเพิ่มอีกเดือนละ 250,000 บาท รถตู้ยี่ห้อหรูอีก 1 คัน เพื่อให้ย้ายไปอยู่ในสังกัดพรรคตัวเองนั้น ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการสร้างความสำคัญให้ตัวเองเกินความเป็นจริง และอาจส่งผลให้ สส. พรรคประชาชนในพื้นที่ จ.ชลบุรี เกิดความเสียหาย และเรียกร้องให้นายยอดชาย ออกมาชี้แจงนั้น
      
   รายงานข่าวจากพรรคประชาชนแจ้งว่า  ขณะนี้เกิดความระส่ำระสายขึ้นกับ สส.โซนภาคตะวันออกของพรรคประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ชลบุรี ที่มีพรรคมี สส. 7 คน จากจำนวน สส.ชลบุรีทั้งหมด 10 คน โดยเริ่มมีพรรคการเมืองซีกรัฐบาลหลายพรรคติดต่อทาบทาม สส.ชลบุรี พรรคประชาชนให้ไปร่วมงานด้วยเพื่อเติมเสียงต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี เนื่องจากเข้าใกล้ช่วงเวลาที่มีกระแสข่าวปรับ ครม.ในช่วงเดือน มิ.ย.นี้ 
     
    โดยในส่วนของ น.ส.กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี เขต 6 พรรคประชาชน ค่อนข้างชัดเจนว่าจะไปร่วมงานกับพรรคกล้าธรรม เนื่องจากที่ผ่านมามีปัญหาส่วนตัว โดยทัศนคติเข้ากับพรรคและสส.ของพรรคไม่ได้ จุดแตกหักคือ น.ส.กฤษฎิ์ได้ยื่นขอหารือบางประเด็นในสภา  ซึ่งพรรคมองว่าไม่เหมาะสม และมีการเรียกเข้าห้องเย็นไปพูดคุยทำความเข้าใจ จึงทำให้ น.ส.กฤษฎิ์ไม่พอใจ ล่าสุดในการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครเจ้าพระยาสุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ พรรคจึงขอให้มาร่วมรณรงค์หาเสียงด้วย แต่เจ้าตัวมีปัญหาปัญหาขัดแย้งกับกับทีมงานพรรค จ.ชลบุรี และแกนนำพรรคประชาชนได้ขอให้ สส.โทรศัพท์พูดคุยปรับความเข้าใจกัน
     
    รายงานข่าวฯ ระบุต่อว่า แต่สุดท้าย น.ส.กฤษฎิ์ได้ทำหนังสือถึงพรรคประชาชนว่า ขอยุติบทบาทการเมืองกับพรรคประชาชน และไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่แจ้งติดต่อเกี่ยวกับการประชุมใดๆ ของพรรค เพราะจะไม่เข้าร่วมประชุมหรือร่วมกิจกรรมกับพรรคอีกต่อไปแล้ว  ซึ่งนายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน ได้ขอร้องว่าอย่าเพิ่งเปิดตัวร่วมกับพรรคการเมืองอื่น เพราะจะกระทบกับการเลือกตั้งท้องถิ่นของพรรคประชาชน
     
    อย่างไรก็ตามนอกจากพรรคกล้าธรรมแล้วยังมีตัวแทนจากพรรคภูมิใจไทยติดต่อเจรจาให้ น.ส.กฤษฎิ์ร่วมงานกับพรรค และในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี รมช.รายหนึ่งรับผิดชอบพื้นที่ จ.ชลบุรี ก็มีการติดต่อดึงตัวด้วย  พร้อมให้เหตุผลว่าหากจะไปร่วมงานกับพรรคการเมืองอื่น ควรมาอยู่กับคนเมืองชลด้วยกันจะดีกว่า จะได้ไม่ถูกมองเป็นงูเห่าในสายตาคนชลบุรี ซึ่งเรื่องนี้น.ส.กฤษฎิ์ให้ ตัวแทนของ รมช.คนดังกล่าวไปเจรจากับพรรคกล้าธรรมเอง เพราะเบื้องต้นได้ตกลงร่วมงานกับพรรคกล้าธรรมแล้ว นอกจากนี้ยังมี สส.ชลบุรี พรรคประชาชนอีก 2-3  รายที่อาจจะไปร่วมงานกับพรรคการเมืองอื่น ขณะที่ในส่วนของนายจรัส คุ้มไข่น้ำ สส.ชลบุรี เขต 8 พรรคประชาชน  ซึ่งเป็น สส.มาแล้ว 2 สมัยตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ จะไม่ลงเลือกตั้งในสมัยหน้าเพราะอิ่มตัวทางการเมือง ส่วนนายยอดชายที่เป็นคนเปิดประเด็นการดูด สส.ยังยืนยันว่าจะอยู่กับพรรคต่อไป
    
     รายงานข่าว ระบุอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคประชาชนในเวลานี้เหมือนเป็นแผนการรุมกินโต๊ะทำลายพรรคเพื่อเตรียมความพร้อมของซีกรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยในโซนภาคตะวันออกพรรคประชาชนมี สส. 17 คน จากจำนวน 29 เก้าอี้ทั่วทั้งภาค เป็น สส.ฉะเชิงเทรา 1 คน สส.ชลบุรี 7 คน ชนะยกจังหวัดคือ ระยอง 5 คน จันทบุรี 3 คน และตราด 1 คน ซึ่งในพื้นที่ จ.ชลบุรีพรรคเพื่อไทยยกให้พรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคกล้าธรรมจับมือแบ่งพื้นที่กัน พร้อมขอความร่วมมือจากบ้านใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ในการเจาะพื้นที่ จ.ระยอง ขณะที่พรรคเพื่อไทยพุ่งเป้าที่ จ.สมุทรปราการ ที่พรรคประชาชน ชนะยกจังหวัดเช่นกัน
      
   ขณะที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ว่าเข้าข่ายมีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามความในมาตรา 234 (1) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 หรือไม่
   
      นายเรืองไกร กล่าวว่า ในคำร้องนี้มีข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่สาธารณชนสนใจติดตามเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี คำร้องจึงได้สรุปข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงให้ ป.ป.ช. ซึ่งควรทราบอยู่แล้ว โดยสาระสำคัญของหนังสือคือ เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา แพทยสภาได้เผยแพร่ข่าวสำหรับสื่อมวลชน โดยสรุปความได้ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภาได้มีมติลงโทษแพทย์ 3 ท่าน รายละเอียดปรากฏตามเอกสารที่เผยแพร่ให้ทราบโดยทั่วไปแล้วนั้น กรณีดังกล่าว เริ่มจากการกระทำของเจ้าพนักงานในส่วนของกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ที่ปรากฏข้อเท็จจริงพอสรุปได้ว่า ผู้ต้องขังรายหนึ่งไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือทุพพลภาพ แต่กลับมีการปล่อยตัวผู้ต้องขังจากคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรายนี้ ออกไปจากสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุก ให้ไปอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ซึ่งเป็นห้องพิเศษเพียงคนเดียว เป็นเวลาประมาณ 180 วัน โดยมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 และขัดต่อ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 6 ประกอบกฎกระทรวงกำหนดสถานที่อื่นที่ใช้ในการขัง จำคุก หรือควบคุมผู้ต้องหา จำเลยหรือผู้ซึ่งต้องจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุด พ.ศ. 2552 หมวด 2 ส่วนที่ 1 ข้อ 22 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ซึ่งรัฐมนตรีต้องทราบตามความในกฎกระทรวงฯ ข้อ ๗ (๓)
     
    อีกทั้งยังน่าเชื่อว่า การนำตัวผู้ต้องขังรายนี้ออกไปจากสถานที่คุมขัง โดยมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 ดังกล่าว คือ ไม่ได้มีการร้องขอให้ศาลซึ่งมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อนจนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไป ตามความในมาตรา 246 วรรคหนึ่ง ทั้งนี้ เนื่องจากไม่พบข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าศาลมีคำสั่งตามวรรคหนึ่งแล้ว หรือไม่ ดังนั้น หาก รมว.ยุติธรรมซึ่งมีหน้าที่และอำนาจกำกับดูแลและติดตามข้อเท็จจริงของผู้ต้องขังรายนี้ซึ่งเคยเป็นนายกรัฐมนตรีและยังคงเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองที่สื่อมวลชนมีการติดตามและตั้งข้อสงสัยมาโดยตลอดว่าได้ถูกจำคุกโดยหมายของศาลจริงหรือไม่ ประกอบกับข้อเท็จจริงที่แพทยสภาได้มีมติออกมาลงโทษแพทย์ 3 ราย เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2568 ก็ยังไม่พบว่า รมว.ยุติธรรมได้ใช้หน้าที่และอำนาจเข้าไปติดตามตรวจสอบว่า จำเลยได้มีการปฏิบัติตามตามกฎหมายหรือกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง หรือไม่
      
   ดังนั้น กรณีที่เกิดขึ้น ซึ่งอยู่ในหน้าที่และอำนาจของ รมว.ยุติธรรม ที่จะต้องรู้หรือควรรู้ว่า ผู้ต้องขังรายนี้ได้รับการบังคับให้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 และพ.ร.บราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 6 ประกอบกฎกระทรวงกำหนดสถานที่อื่นที่ใช้ในการขัง จำคุก หรือควบคุมผู้ต้องหา จำเลยหรือผู้ซึ่งต้องจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุด พ.ศ. 2552 หมวด 2 ส่วนที่ 1 ข้อ 22 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 หรือไม่ แต่กลับไม่พบข้อเท็จจริงอันควรเชื่อได้ว่า รมว.ยุติธรรมได้ใช้หน้าที่และอำนาจให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง หรือไม่ อย่างไร กรณี จึงมีเหตุอันควรขอให้ ป.ป.ช. ทำการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) ต่อไปโดยเร็ว และขยายผลการตรวจสอบด้วยว่า มีบุคคลใดเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวทั้งในฐานะตัวการ ผู้ร่วม ผู้สนับสนุน หรือไม่ และบุคคลอื่นที่รู้เห็นหรือร่วมกระทำการจะต้องได้รับโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
      

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.