ย่างเข้าปีที่ 3 ในการควบรวมกิจการโทรคมนาคมยักษ์ “ทรู-ดีแทค” กับเป้าหมายการทรานส์ฟอร์มสู่ “โทรคมนาคม-เทคโนโลยี” ของโลก หลังประธานใหญ่แห่ง เครือ ซี.พี. “ศุภชัย เจียรวนนท์” ตั้ง “ซิคเว่ เบรคเก้” อดีตซีอีโอใหญ่ ดีแทค หวนคืนกุมบังเหียน เป็น Group CEO หรือประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์องค์กรสู่การเป็นเทคคอมปะนีระดับโลก
ล่าสุด “ซิคเว่ เบรคเก้” แถลงเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เขาพูดตอนหนึ่งว่า “ตลอดเวลา 10 ปีที่ได้ไปบริหารงานในหลายประเทศ ได้พบเห็นการเปลี่ยนแปลงและทรานส์ฟอร์มของบริษัท และผมเชื่อว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่นเดียวกันกับที่ผมได้เห็นในหลายอุตสาหกรรม”
ซิคเว่อ้างถึงความคิด-ความเชื่อ ของประธานใหญ่เครือ ซี.พี.ว่า “คุณศุภชัยเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพจะเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยี มีตำแหน่งที่ดีในการนำการพัฒนา ทั้งมีการสนับสนุนมากมาย เพื่อเป็นผู้นำ ดังนั้น จึงต้องสร้างบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้น เพื่อเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จ เมื่อคุณศุภชัยเห็นตรงกัน และมีข้อเสนอที่ดี ผมก็ไม่ปฏิเสธที่จะกลับมามีส่วนร่วมอีกครั้ง”
“ตำแหน่งงานผมไม่มีกำหนดระยะเวลา นี่เป็นงานระยะยาว ที่ยังไม่มีเวลาสิ้นสุด” ซิคเว่กล่าว
ในฐานะประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซิคเว่บอกว่า “จากช่วง 2 ปีแห่งการควบรวมทรูและดีแทค เราได้เห็นศักยภาพอันเข้มแข็งจากการรวมความแข็งแกร่งของทั้ง 2 องค์กร ส่งผลให้ธุรกิจเติบโต เพื่อก้าวเป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น 2 ปีที่ผ่านมาต้องขอบคุณผู้บริหารทีมงานที่รวมพลังสองเป็นหนึ่ง และการรวมโครงข่ายใกล้สมบูรณ์ เป็นก้าวแรกสู่การเป็น Tech Company ระดับโลกในก้าวต่อไป”
อย่างที่เห็นว่า ผลประกอบการในไตรมาสแรกของปีนี้ออกมาดี ครั้งแรกที่เรามีกำไรสุทธิ 1.6 พันล้านบาท แต่ผมยังไม่พอใจกับรายได้ เราต้องทำอะไรอีกหลายอย่างท่ามกลางความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจจุลภาคที่ตกต่ำ ในระหว่างการพัฒนา เรามีแรงงานจากนักท่องเที่ยวน้อยลง
ในช่วง 100 วันแรกหลังจากนี้ อยากให้มีการเติบโตด้านรายได้สูงกว่าไตรมาสแรก และการเติบโตในการทำดาต้าเซ็นเตอร์ของเราร่วมกับพันธมิตร แต่สิ่งสำคัญคืออยากให้โฟกัสการพัฒนาประสบการณ์ของ “ลูกค้า” คือ มุ่งสร้างแบรนด์ที่เชื่อใจได้ พัฒนานวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์เพื่อคนไทยทุกคน และหล่อหลอมวัฒนธรรมองค์กรที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง การประยุกต์ใช้ AI ทั้งในงานบริการและโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้เหนือความคาดหมาย ผมเชื่อมั่นว่าภารกิจทั้งสามนี้จะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนความสำเร็จระยะยาว
ซิคเว่ตอบคำถามที่ว่า มีแนวทางป้องกันการผูกขาดของตลาดโทรคมนาคม ซึ่งเหลือคู่แข่งเพียง 2 รายอย่างไรตอนหนึ่งว่า “ตอนนี้คำว่าคู่แข่ง ไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เรากำลังแข่งขันกับแพลตฟอร์มเทคโนโลยีระดับโลกทั้งหมดเป็น 10 ราย ไม่ใช่แค่ค่ายโทรคมนาคม
แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือแม้ว่าจะมีคู่แข่งเป็น 10 ราย แต่ถ้าไม่มีการพัฒนา ลงทุน และส่งมอบบริการที่ดีแก่ลูกค้าก็ไม่ดี ผมรู้ว่าหลายคนกังวลว่าเมื่อเหลือเพียง 2 รายจะทำให้ค่าบริการสูงขึ้น แต่ที่ผ่านมาการรวมเครือข่ายและการพัฒนาบริการก็ทำให้เห็นแล้วว่ามีการแข่งขันส่งมอบบริการที่ดีให้ลูกค้าโดยตลอด”
“ซิคเว่” กล่าวว่า แม้ว่าการควบรวมเครือข่ายจะเป็นไปด้วยดี และเริ่มต้นได้ดี แต่ก็ยังมีหลายส่วนที่หลายคนคาดหวังว่าการเป็นบริษัท “เทคโนโลยี” ควรจะมีมากกว่านี้ จึงมีภารกิจ 3 ด้านสำคัญ
ภารกิจแรก ในส่วนของลูกค้า (Customer) เป็นส่วนสำคัญที่สุด คือจะต้องสร้างแบรนด์ที่รับความเชื่อใจ (Trusted Brand) ให้ประสบการณ์ลูกค้ารวมเป็นหนึ่งเดียว โดยกำลังเร่งรวมระบบให้เป็นหนึ่งเดียว ระหว่างลูกค้าทรูและดีแทค รวมถึงระบบการบริการทั้งภายในองค์กรและส่วนบริการลูกค้า
ภารกิจที่สอง การลงทุน เทคโนโลยี 2.8-3 หมื่นล้าน โดยเฉพาะด้านคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างพื้นฐานเสาสายขึ้นคลาวด์ รวมถึงการพัฒนาเอไอ เพื่อไทยทุกคน (AI for all Thais) เอไอเฉพาะบุคคล พัฒนาระบบ IOT เมืองอัจฉริยะ
สุดท้ายคือ เรื่องทีม (Team) วัฒนธรรมที่มีหัวใจคือลูกค้า มุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรหลอมรวมให้เป็นหนึ่งเดียว ทุกวิถีทางจะมุ่งสู่การมีหัวใจ คือ “ลูกค้า” ร่วมกัน
สร้างผู้นำขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านในองค์กร ที่มีทัศนคติและศักยภาพที่เหมาะกับการขับเคลื่อนในช่วงการเปลี่ยนผ่านองค์กร และการพัฒนาทีมสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นทีมสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งสร้างพันธมิตรเพื่อความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืน
เรื่องราวการเข้าสู่สมรภูมิโทรคมนาคมในประเทศไทยของ “ซิคเว่” ผู้บริหารจากกลุ่มทุนยักษ์ต่างชาติ บอกเล่าเรื่องราวการแข่งขันดุเดือดและช่วงเวลาการวางรากฐานด้านโทรคมนาคมยุคใหม่ของประเทศได้อย่างดี โดยการเข้ามาของเขา อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรม
กล่าวคือ ในช่วงปี 2543-2544 บริษัทโทรคมนาคมไทยอย่าง “แทค” และ “ยูคอม” กำลังเผชิญปัญหามรสุมหลายด้าน หลังจากวิกฤตการเงินในปี 2543 ทำให้การปรับโครงสร้างด้านการถือหุ้น โดยมีกลุ่มทุนเทเลนอร์จากนอร์เวย์ เข้ามาลงทุนในไทย โดยซื้อหุ้น TAC จากครอบครัวเบญจรงคกุล แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นดีแทคภายหลัง
“ซิคเว่” จึงเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (Co-CEO) ร่วมกับ “วิชัย เบญจรงคกุล” ผู้ก่อตั้งดีแทค ในช่วงปี 2544-2548 ด้วยพลิกฟื้นดีแทค หรือแทคเดิมเจ็บหนักจาก “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เพราะกู้เงินต่างประเทศจำนวนมาก “ซิคเว่” กับ “วิชัย” ต้องสร้างแบรนด์ดีแทคขึ้นมาใหม่ ซีอีโอต้องออกมาทำหลายสิ่งที่แปลกแหวกแนว เช่น เป็นพรีเซ็นเตอร์เอง เล่นหนัง สร้างอัตลักษณ์ตัวเองขึ้นมาใหม่ ตลอดจนคลอดแบรนด์แฮปปี้ ฯลฯ
ต่อมาในปี 2548-2551 “ซิคเว่” ขึ้นเป็น CEO ดีแทคเพียงคนเดียว ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาที่กลุ่มทุนเทเลนอร์เข้าถือหุ้นข้างมากอย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งในดีแทคและยูคอมของ “วิชัย”
ในช่วงการเป็นซีอีโอใหญ่ของดีแทค ปี 2548-2551 นั้น “ซิคเว่” นับเป็นคู่แข่งโดยตรงของ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” แต่หลังจากนั้นเขากลับไปรับตำแหน่งซีอีโอในเทเลเนอร์อินเดีย ควบกับเป็นหัวหน้าใหญ่ของเทเลนอร์ภาคพื้นเอเชีย 6 ประเทศ เพื่อนำบริษัทที่อินเดียที่เป็นเจ้าใหม่เล็ก ๆ รายที่ 13 ของกลุ่มเทเลนอร์ ที่ถูกมรสุมการเมืองยึดใบอนุญาต จนบริษัทที่อินเดียพลิกฟื้นและอยู่รอด
จนกระทั่งในปี 2557-2558 เขาได้กลับมารับตำแหน่งซีอีโอชั่วคราวของดีแทคอีกครั้ง และหลายปีต่อมาก็มีข่าวลือหลายครั้งว่า “ทรู” จะซื้อ “ดีแทค” จนในที่สุดก็เกิดปรากฏการณ์ใหญ่ที่ “ดีแทค” และ “ทรู” จะควบรวมกิจการในช่วงปี 2564
ซึ่งผู้นำดีลสำคัญนี้หนีไม่พ้นซีอีโอมือทองจากเทเลนอร์ คือ “ซิคเว่” คู่กับแม่ทัพใหญ่ฝั่งทรูอย่าง “ศุภชัย” โดยมุ่งหวังรวมเงินทุนและเทคโนโลยีระดับสูงจากเทเลนอร์ และความแข็งแกร่งของโครงข่าย “ทรู” เพื่อยกเป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก
เมื่อการควบรวมแล้วเสร็จในปี 2566 “ซิคเว่” ลาออกจากตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน 2567 และห่างหายไปจากวงการโทรคมนาคมไทยไปไม่กี่เดือนก็คัมแบ็กกลับมาในฐานะ “ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือ ซี.พี.” และล่าสุด กับตำแหน่งกรุ๊ปซีอีโอของ “ทรู คอร์ปอเรชั่น”
