ดร.เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ สวมสูทสีเทายิ้มสวัสดีและเช็กแฮนด์บรรดา “ผู้ปกครอง” ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ระหว่างพา “ประชาชาติธุรกิจ” เดินชมโรงเรียน “เด่นหล้า” ของตัวเองและครอบครัว ย่านพระราม 5 บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2549
เขาเป็นทายาทของอาจารย์อารย์ ปาลเดชพงศ์ ผู้ก่อตั้ง โดยปัจจุบัน ดร.เต็มยศ นั่งในตำแหน่ง กรรมการบริหารเด่นหล้ากรุ๊ป และผู้อำนวยการบริหารโรงเรียนนานาชาติ DLTS
ท่ามกลางการเติบโตของโรงเรียนนานาชาติ สวนทางกับ ‘จำนวนนักเรียนในไทย’ ที่ลดลงต่อเนื่องมาตลอดในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ตามแนวโน้มของสถิติการเกิดที่ลดลง ต่อไปนี้คือคำอธิบาย มุมมองต่อธุรกิจและวัฒนธรรมการศึกษาไทยจาก ดร.เต็มยศ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ปี 2568 รายได้ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทยโต 9.7% รายได้ 9.5 หมื่นล้าน ชะลอตัวจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 13.1% เนื่องจากจำนวนนักเรียนนานาชาติในปีนี้มีทิศทางขยายตัวที่ชะลอลง มีเพียง 8 โรงเรียนใหม่ที่เปิดตัว น้อยกว่าปีที่แล้ว 5 โรงเรียน
ขณะที่จำนวนนักเรียนไทยมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องตามสถิติการเกิด โดยการลดลงนี้มาจากจำนวนนักเรียนรัฐบาล และเอกชนหลักสูตรไทยที่ปีนี้คาดว่าจะลดลง 1.1% และ 1.2% ตามลำดับ โดยค่าเล่าเรียนเฉลี่ยต่อปีของโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยอยู่ที่ 764,484 บาท
ดร. เต็มยศ เห็นว่าเหตุผลหลักที่ทำให้โรงเรียนนานาชาติเติบโต คือแนวคิดของผู้ปกครองหลายคนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ไม่นิยมหลักสูตรและแนวทางการเรียนการสอนของกระทรวงศึกษาธิการ
“ถ้าจ่ายไหวคือส่งเรียนนานาชาติเลย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเห็นความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก เดิมผู้ปกครองมีความกังวลหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการใช้ภาษาไทยและวัฒนธรรม ตอนนี้ลดลงเรื่อยๆ เขาให้น้ำหนักไปที่เรื่องทักษะ คุณภาพการศึกษา สภาพแวดล้อม”
ประเด็นสำคัญต่อมาที่ “ผู้ปกครอง” มองคือ ความปลอดภัย สุขภาวะทั้งทางร่างกายและจิตใจ มาโรงเรียนแล้วมีความสุข ไม่ถูกบูลลี่ มีอาหาร โภชนาการที่ถูกต้อง อุปกรณ์อำนวยความสะดวก สัมฤทธิ์ผลทางด้านอารมณ์สังคมและสติปัญญา มั่นใจและสามารถวางใจ บุคลากรและสถานที่ๆ ลูกอยู่ ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาเติบโตและได้รับสิ่งตอบแทนที่ดีในอนาคต
ข้อมูลจาก KResearch ระบุสาเหตุที่ว่าทำไมเด็กไทยเกิดน้อย จำนวนนักเรียนภาพรวมน้อย แต่โรงเรียนนานาชาติกลับเติบโต คือ
1. ความนิยมหลักสูตรต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพราะทันสมัยและพัฒนาอยู่ตลอด เมื่อเทียบกับหลักสูตรไทย ทำให้ผู้ปกครองหลายๆ คนนิยมหลักสูตรนานาชาติมากกว่า
2. ผู้ปกครองมีศักยภาพการลงทุนด้านการศึกษา มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สะท้อนจากคาดการณ์ที่บอกว่า ประเทศไทยจะมีผู้ที่มีทรัพย์สินมากกว่า 36 ล้านบาท (1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 24% ในช่วง 2566-2571
3. ชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานตำแหน่งบริหารในไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.6% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาที่พาบุตรหลานมาเล่าเรียนในไทย
นอกจากนี้ การที่รัฐบาลจีนมีนโยบายส่งเสริมการใช้ภาษาจีนกลาง ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเรียนหลักสูตรนานาชาติในจีนสูงขึ้น โดยจากผลสำรวจ “ปักกิ่ง” เป็นเมืองที่มีค่าเรียนโรงเรียนนานาชาติสูงสุดในเอเชีย ส่งผลให้โรงเรียนนานาชาติในไทยนั้นเป็นที่สนใจสำหรับผู้ปกครองจีน
ทั้งนี้ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ระบุว่า ปี 2567 ประเทศไทยมีโรงเรียนนานาชาติ 249 แห่ง นักเรียน 77,734 คน โดยเพิ่มขึ้น 10% จากในปีที่ผ่านมา ที่มีโรงเรียนนานาชาติ 236 แห่ง นักเรียน 70,200 คน ในปี 2566
โรงเรียนเด่นหล้า เปิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 ปัจจุบัน Denla Group มีโรงเรียน 3 รูปแบบ และมีนักเรียนในสังกัดราว 4,000 คน ได้แก่
1.โรงเรียนอนุบาลเด่นหล้า 2 สาขา ประกอบด้วย สาขาพระราม 5 Denla Rama 5 และสาขาเพชรเกษม Denla School Phetkasem มีการเรียนการสอนทั้งหมด 2 หลักสูตร คือ บูรณาการ (DIP) และ English Program (DEP)
2.โรงเรียนนานาชาติ DLTS (DLTS International School) 2 สาขา ได้แก่ สาขาพระราม 5 และสาขาเพชรเกษม
3.DBS Denla British School โรงเรียนนานาชาติหลักสูตร British ตั้งอยู่บนพื้นที่ 60 ไร่ ถนนราชพฤกษ์ เปิดรับนักเรียนอายุระหว่าง 2-18 ปี เข้าเรียนในระดับ Pre-EY จนถึง Year 13 (เทียบเท่าชั้นเตรียมอนุบาล ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 6)
จุดเด่นของ DBS คือ การจัดการเรียนการสอนตามระบบเอกชนอังกฤษ และมีการพัฒนาเพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย (Enhanced British Curriculum) โดยจะมีความเข้มข้นทางด้านวิชาการมากขึ้น และมีชั่วโมงเรียนที่ยาวกว่าโรงเรียนนานาชาติอื่น ๆ เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ทำกิจกรรม ดนตรี กีฬา วิชาการ และค้นพบความถนัดของตนเอง
ดร.เต็มยศ บอกว่า เด็กที่จบจากเด่นหล้า จะเป็นเด็กที่มีความพร้อมในเชิงการสื่อสาร ความรอบรู้ กลมกล่อม กล้าหาญ จากการเรียนรู้กิจกรรมที่หลากหลาย สามารถใช้ภาษาไทยได้และเข้าใจวัฒนธรรมของไทย เพื่อใช้ชีวิตและทำงานในไทยอย่างมีความสุข ที่สำคัญพยายามเสริมสร้างทักษะแนวคิด “ความเป็นผู้ประกอบการ” ให้กับเด็กทุกคน
“ผมจะพูดเสมอว่า เราไม่ได้คาดหวังว่าเด็กทุกคนโตขึ้นมาแล้วต้องเป็นนักธุรกิจ แต่มองว่าทักษะการเป็นผู้ประกอบการมีประโยชน์ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การค้นหาตัวเอง ความกล้าหาญในการลงมือทำอะไรใหม่ ๆ เป็นสิ่งที่เราอยากปลูกฝัง”
จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยทุ่มเม็ดเงินมหาศาลไปกับ “การศึกษา” แต่ดูเหมือนว่าผลลัพธ์ไม่เป็นดังที่หวัง เพราะปัญหาหลักอยู่ที่ Mindset ซึ่งเป็นต้นทางในการออกแบบระบบต่าง ๆ
“ค่านิยมเมืองไทย เป็นการเรียนเพื่อสอบ ไม่ใช่เรียนเพื่อรู้” เขาบอก
“ผมเคยสอนหนังสือเด็ก ป.ตรี มีนักศึกษายกมือถามอาจารย์ครับ เรื่องนี้ออกข้อสอบไหมครับ ผมบอกว่าไม่ออก พูดแบบนั้นเขาไม่ฟังอีกเลย นั่งเล่นโทรศัพท์ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเลิกสอนมหา’ลัย เพราะรู้สึกเติมไม่เต็มกับสิ่งที่เราอยากจะให้”
“ค่านิยม” มีรากฐานจากวัฒนธรรมในอดีต ที่ทุกคนอยากให้ลูกเรียนสูง ๆ ภาครัฐและภาคเอกชนในหลากหลายระดับ ต่างพยายามออกแบบกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมค่านิยมดังกล่าว ทำให้หลายสถานะหรือตำแหน่งงานต้องผูกโยงกับวุฒิการศึกษาหรือใบปริญญา
“คนของเราเรียนเพื่อสอบ เพื่อให้ได้วุฒิมากกว่าเรียนเพื่อให้ได้ทักษะความเชี่ยวชาญที่แท้จริง ผมคิดว่าค่านิยมกับความจำเป็นมันอาจจะไม่คล้องกัน”
มองในเชิงเศรษฐศาสตร์ โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ไม่เว้นแม้แต่ “การศึกษา” บางคนอาจคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ใช้หรือได้รับ ขณะที่บางคนสิ่งที่ลงทุนอาจเรียกได้ว่า “ฟุ่มเฟือย”
เศรษฐศาสตร์จะมีคำศัพท์คำหนึ่ง เรียกว่า Veblen Goods สินค้าประเภทที่ขึ้นราคา ยิ่งขายดี เพราะคนอยากได้มาครอบครอง มาประดับบารมีหรือแสดงสถานะทางสังคม เช่น สินค้าแบรนด์เนมทั้งหลาย คำถาม คือ การเรียนในมหาวิทยาลัยที่เราทำกัน เทียบเคียงกับเรื่องความฟุ่มเฟือยหรือเปล่า ?
“การเรียนเพื่อเอาวุฒิ โดยไม่ได้ต้องการทักษะหรือความรู้จริง ๆ มันคุ้มค่ากับเวลา แรง เงิน และความตั้งใจ ตลอดระยะเวลา 4 ปีหรือเปล่า”
“แน่นอนการเรียนมีประโยชน์แน่ ๆ แต่คุ้มค่าหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับว่า คุณเรียนอะไร จบแล้วไปทำอะไร ได้ทักษะ ได้คอนเน็กชั่น ได้วุฒิไปสมัครงาน อาจจะคุ้มสำหรับบางคน แต่บางคนอาจเป็นความฟุ่มเฟือย”
ดังนั้น วุฒิการศึกษา ไม่ควรจะถือเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับหลาย ๆ อาชีพ
“มันไม่ควรจะจำเป็น” และ “คุ้มไม่คุ้มขึ้นอยู่กับแต่ละคน” ดร.เต็มยศ ผู้แต่งร่วม หนังสือ Cartoonomics : เศรษฐศาสตร์ฉบับการ์ตูน กล่าวทิ้งท้าย