เกมไทยลีก 2 รอบเพลย์ออฟ รอบชิงชนะเลิศ เกิดประเด็นแปลกๆ แบบไม่น่าเกิด จากระเบียบการแข่งขัน
ศึกชิงตั๋วขึ้นสู่ไทยลีก ใบสุดท้าย (ตามหลัง ชลบุรี เอฟซี กับ อยุธยา ยูไนเต็ด) เกมรอบชิงฯ เพลย์ออฟ พลังกาญจน์ เอฟซี พบ แพร่ ยูไนเต็ด เกมแรกเล่นที่บ้าน พลังกาญจน์ วันที่ 17 พ.ค. เวลา 18.00 น. ที่สนามกีฬากลางจังหวัดกาญจนบุรี (สนามกลีบบัว) ส่วนเกมที่ 2 เตะที่ห้วยม้า สเตเดี้ยม ถิ่นของแพร่ วันที่ 24 พ.ค.68
มีการเปิดระเบียบการแข่งขัน ปรากฏว่า มีข้อที่สร้างความฮือฮา และแตกต่างจากระเบียบฟุตบอลสากล โดยทั้ง 2 นัด จะนำผลการแข่งขันมารวมกัน แต่ไม่นับสกอร์รวม และ อะเวย์โกล
จากระเบียบจัดการแข่งขันข้อ 15.3 ระบุว่า “ทำการแข่งขัน 90 นาที ทีมที่ชนะได้ 3 คะแนน, เสมอได้ 1 คะแนน, แพ้ได้ 0 คะแนน โดยการแข่งขันในแต่ละรอบทีมที่ได้คะแนนสูงกว่าจะเป็นทีมที่ชนะในรอบนั้น หากจบการแข่งขันในนัดที่ 2 ของแต่ละรอบ ผลปรากฏว่าทั้ง 2 ทีม เสมอกัน ให้มีการต่อเวลาพิเศษออกไป 30 นาที หากผลการแข่งขันยังเสมอกันอยู่อีก ให้ตัดสินด้วยการเตะลูกโทษ ณ จุดเตะโทษ”
ซึ่งกฎดังกล่าว ไม่ได้ระบุถึงจำนวนประตูที่ยิงได้ ฉะนั้นหากทีมใดทำคะแนนจากผลการแข่งขันเลิศกว่ากัน ทีมนั้นจะเป็นผู้ชนะ เช่น หากเกมแรก พลังกาญจน์ ชนะ 5-0 ส่วนนัด 2 แพร่ ชนะ 1-0 จะถือว่าเสมอกัน ต้องต่อเวลาพิเศษ แม้สกอร์รวม พลังกาญจน์ ดีกว่า 5-1 ก็ตาม
ระเบียบดังกล่าว ที่เพิ่งถูกเผยแพร่แก่สาธารณชน ผ่านสื่อมวลชน สร้างความมึนงงให้แฟนบอลอย่างมาก เพราะตามปกติ การแข่งแบบเหย้า-เยือน ต้องดูสกอร์รวมเป็นตัวตัดสิน เกิดกระแสดราม่าขึ้นมาทันที
นั่นทำให้เกิดความเคลื่อนไหว จาก สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และ บริษัท ไทยลีก จำกัด โดยมีรายงานว่า ในวันที่ 14 พ.ค.68 ได้นัดหารือและหาข้อสรุป เพื่อให้การแข่งขันเป็นตามระเบียบสากล ทำให้คาดว่าอาจเปลี่ยนแปลงระเบียบฯ ข้อ 15.3 ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์พลิกอีก เมื่อมีการสอบถามคู่ชิงฯ ปรากฏว่า พลังกาญจน์ และ แพร่ ยูไนเต็ด ยินยอมกับระเบียบการแข่งขันดังกล่าว เพราะมองว่าไม่มีใครได้เปรียบ-เสียเปรียบ และเห็นว่าควรยึดระเบียบเดิม
สรุปแล้ว คู่ชิงเพลย์ออฟไทยลีก 2 ซึ่งเตะเหย้า-เยือน จะไม่นับสกอร์รวม แต่จะนับเพียงคะแนนจากผลการแข่งขัน ชนะ, เสมอ, แพ้ ของ 2 นัดเท่านั้น
ทั้งนี้ ต้องรอดูว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการจากสมาคมฯ และ บจก.ไทยลีก หรือไม่ เพื่อให้เข้าใจตรงกัน หรือจะมีการเปลี่ยนแปลง.