14 พ.ค. 2568 เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ตำรวจ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช เบิกตัวนายเจริญ อายุ 55 ปี หรือ "เตี้ย" ผู้ต้องหาฆาตกรรมชิงทอง ยายนิล อายุ 89 ปี ออกจากห้องควบคุมผู้ต้องหา เพื่อนำมาสอบปากคำอย่างละเอียดเพิ่มเติม ที่ห้องสอบสวนชั้น 1 โดยมีทนายอาสาเข้าร่วมรับฟัง
สำหรับบรรยากาศในการสอบปากคำ เป็นไปอย่างเคร่งเครียด นายเตี้ย มีสีหน้าสลด พูดน้อยกว่าที่ผ่านมา และแสดงท่าทีวิตกกังวลอย่างชัดเจนตลอดช่วงเช้า
ทั้งนี้มีรายงานว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา นายเตี้ย ได้ยืนยันเจตนาชัดเจนกับเจ้าหน้าที่ว่าไม่ประสงค์จะทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เนื่องจากกังวลว่าจะถูกญาติของผู้เสียชีวิต รุมประชาทัณฑ์ หากต้องเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ
ภายหลังสอบปากคำเสร็จ ตำรวจได้คุมตัวนายเตี้ย กลับไปยังห้องคุมขัง ปรากฏว่า หลานเขยของยายนิล ที่มายืนรออยู่หน้าห้องสอบสวน ได้พุ่งเข้าไปชกใบหน้าของนายเตี้ย เข้าอย่างจัง สร้างความตกตะลึงแก่ตำรวจ และสื่อมวลชน ก่อนที่ตำรวจจะรีบเข้าห้ามปราม และกันตัวผู้ต้องหาออกไป จนเกิดความชุลมุน ช่างภาพบางสำนักล้มลงไปกับพื้น
เมื่อเหตุการณ์สงบลง ตำรวจจึงยินยอมให้ผู้ต้องหา ออกมาให้สัมภาษณ์สั้นๆ บริเวณหน้าห้องควบคุม แต่ยังไม่ทันที่ผู้สื่อข่าวจะได้สอบถามใดๆ นายสุทร อายุ 48 ปี ลูกชายคนที่ 8 และ นายสายัณห์ อายุ 55 ปี ลูกชายคนที่ 6 ของผู้เสียชีวิต ก็พุ่งตัวเข้ามาชกหน้าผู้ต้องหาเต็มแรง ต่อหน้าสื่อมวลชนอีกครั้ง ทำให้ตำรวจต้องรีบควบคุมสถานการณ์และนำตัวนายเตี้ย กลับเข้าห้องควบคุมทันที
นายสุทร และนายสายัณห์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า สิ่งที่ทำไปเป็นเพียงการแสดงความรู้สึกในฐานะลูก ที่เสียแม่ไปด้วยน้ำมือคนอำมหิต "เราอยากให้ตำรวจลองคิดมุมคนเสียญาติดูบ้าง ไม่ใช่แค่ปกป้องผู้ต้องหา ชกแค่นี้มันน้อยไปด้วยซ้ำ" ทั้งสองยังเชื่อว่า นายเตี้ยวางแผนฆ่าแม่ไว้ล่วงหน้า เพราะเห็นแม่ใส่ทองมานาน และเลือกลงมือในวันที่สบโอกาส
"กระสอบที่ใช้ยัดศพยังใหม่เอี่ยมอยู่เลย ไม่เชื่อหรอกว่าไม่ได้เตรียมการ" นายสุทร เล่าด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น และบอกว่า แม่ไว้ใจนายเตี้ยมาก โทรให้พาไปซื้อของเป็นประจำ แต่กลับถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม "มันเป็นฆาตกรอำมหิต ฆ่าแม่เสร็จก็ไปกินเหล้าได้ ยังมีหน้ามานั่งหัวเราะในห้องสอบสวนอีก มันไม่รู้สึกผิดอะไรเลย"