วันที่ 15 พ.ค.68 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการ สำนักวิจัยซูเปอร์โพล ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์เชิงวิชาการ คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญต่อ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง กับ สัญญาณสะเทือนวงการเมืองไทย และผลสะท้อนต่อความเชื่อมั่นของประชาชน โดยมีเนื้อหาระบุว่า
ข้อเท็จจริง
กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเฉพาะในส่วนที่กำกับดูแล กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และตำแหน่ง รองประธานกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) นับตั้งแต่ 14 พฤษภาคม 2568 นั้น เป็นคำสั่งชั่วคราวที่สะท้อนถึงหลักการสำคัญในรัฐธรรมนูญไทย ได้แก่ หลักการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers) และหลัก นิติธรรม (Rule of Law)
การที่ศาลจำกัดให้หยุดเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับ DSI และ กคพ. แสดงให้เห็นว่าศาลได้รักษาดุลยภาพระหว่าง “การใช้อำนาจยับยั้งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการตรวจสอบ” กับ “การไม่ลิดรอนสิทธิรัฐมนตรีเกินสมควร” นับเป็น “มาตรการป้องกันความเสียหายเชิงระบบ” ที่เกิดขึ้นจากข้อร้องเรียนว่า มีการใช้อำนาจรัฐเพื่อแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กรณีนี้ ไม่ใช่การปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรีโดยสมบูรณ์ แต่เป็นการระงับบางบทบาทเพื่อรอผลวินิจฉัยถึงที่สุดจากศาล เป็นการใช้อำนาจอย่างรอบคอบขององค์กรตุลาการภายใต้หลักรัฐธรรมนูญ
สังเคราะห์สัญญาณทางการเมือง
สะท้อนความเปราะบางของดุลอำนาจคดีนี้เป็นภาพสะท้อนของการแข่งขันอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ยังคงแฝงความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะเมื่อมีการกล่าวอ้างว่าอำนาจของกระทรวงยุติธรรมถูกใช้เพื่อ “แทรกแซง” การทำงานของวุฒิสภา
สะเทือนเสถียรภาพรัฐบาล แม้รองนายกฯ ภูมิธรรมจะยังคงทำหน้าที่ต่อได้ แต่การที่รัฐมนตรีระดับสูงอีกคนต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ย่อมทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลในสายตาประชาชนและนักลงทุนต่างชาติเกิดคำถามเกี่ยวกับความโปร่งใสและความมั่นคงภายใน
ผลกระทบจากมุมมองโพลและความเชื่อมั่นของประชาชน
จากประสบการณ์การทำโพลในประเด็นความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมและรัฐบาล พบว่าประชาชนให้ความสำคัญกับ “ความโปร่งใส” และ “การไม่แทรกแซงกลไกอิสระ” เป็นอันดับต้น ๆ เหตุการณ์นี้อาจนำไปสู่ “การตั้งคำถามต่อความเป็นกลางขององค์กรรัฐ” และ “ความเชื่อมั่นในระบบตรวจสอบถ่วงดุล” โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของการเมืองยุคใหม่ ข้อมูลจากการวัดดัชนีความไว้วางใจทางการเมือง (Political Trust Index) ชี้ให้เห็นว่า หากไม่มีการสื่อสารที่โปร่งใสและตรงไปตรงมา เหตุการณ์เช่นนี้อาจส่งผลให้ระดับความเชื่อมั่นต่อทั้งสภาและรัฐบาลถดถอยลงในระยะกลาง
ในระบอบประชาธิปไตย การบังคับใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมถือเป็นรากฐานสำคัญที่ต้องได้รับความไว้วางใจจากประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกี่ยวข้องกับคดีการเมืองหรือการใช้อำนาจของรัฐ การดำเนินงานของหน่วยงานด้านการสอบสวน เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) จึงต้องมีความน่าเชื่อถือ ปราศจากอคติ และอยู่ภายใต้หลักนิติธรรมอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม การดำเนินคดีที่เกี่ยวพันกับนักการเมืองหรือองค์กรอิสระมักตกอยู่ภายใต้ความสงสัยของสาธารณะถึงความเป็นอิสระและความโปร่งใสของกลไกที่เกี่ยวข้อง ข้อเสนอเชิงนโยบายและข้อเสนอแนะเชิงโครงสร้างจึงจำเป็นต้องถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างจริงจัง เพื่อเสริมสร้างความชอบธรรมให้กับการสอบสวนคดีพิเศษในบริบทที่มีความละเอียดอ่อนทางการเมือง
จากการศึกษาวิเคราะห์ครั้งนี้ จึงสามารถเสนอข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การทบทวนกลไกกำกับการใช้อำนาจของ DSI การกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในคดีการเมือง และการฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อองค์กรอิสระ ดังนี้
1. ทบทวนกลไกกำกับการใช้อำนาจ DSI
ต้องมีการวางโครงสร้างกำกับดูแล DSI ให้เป็นอิสระจากฝ่ายบริหารในกรณีที่ DSI สอบสวนเรื่องที่เกี่ยวกับนักการเมืองหรือองค์กรอิสระ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest)
2. กำหนดแนวทางปฏิบัติในคดีการเมือง
ประเทศไทยควรมีระเบียบหรือมาตรการที่ชัดเจนว่าเมื่อใดจึงควรให้คดีเกี่ยวกับการเมือง หรือการเลือกตั้ง เป็น “คดีพิเศษ” เพื่อไม่ให้การดำเนินคดีกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง
3. ฟื้นฟูความเชื่อมั่นในองค์กรอิสระ
ในระยะยาว จำเป็นต้องสร้างกระบวนการสื่อสารที่โปร่งใสระหว่างรัฐบาล หน่วยงานสอบสวน และองค์กรอิสระ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่า “กฎหมาย” ไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ผลกระทบทางการเมือง
ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติการต่อรัฐบาล
รัฐบาลควรปรับยุทธศาสตร์การสื่อสารเป็น “เชิงรุกอย่างมีกลยุทธ์” (Strategic Proactive Communication) โดยเน้น 3 แนวทางหลัก คือ
1. แถลงการณ์เชิงลึกจากผู้มีอำนาจโดยตรง ให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เช่น โฆษกรัฐบาล หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ออกมา แถลงข่าวอย่างมีโครงสร้าง ชี้แจงเจตนา เหตุผล ขอบเขตอำนาจ และขั้นตอนการดำเนินคดีอย่างเป็นธรรม พร้อมย้ำว่า ไม่มีการก้าวล่วงองค์กรอิสระ ตัวอย่าง การแถลงแบบมีสไลด์อธิบาย เช่น เหตุใดจึงมีมติให้ DSI รับเป็นคดีพิเศษ 5 ประเด็นที่ประชาชนควรรู้ ใช้คำพูดที่สร้างความเชื่อมั่น เช่น รัฐบาลพร้อมให้ตรวจสอบ และจะไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย
2. เปิดเวทีเสวนา หรือ จัดเวที ถาม-ตอบ กับสื่อมวลชน/ภาคประชาชน จัดเวที “ถาม-ตอบ” กับนักวิชาการ หรือเปิดห้อง Clubhouse / Facebook Live กับโฆษก หรือผู้แทน DSI เพื่อฟังเสียงประชาชนโดยตรง ตัวอย่าง เวที “รัฐบาลพบประชาชน: เจาะลึกคดีพิเศษกับ DSI” ถ่ายทอดสดผ่านช่องทางโซเชียลของรัฐบาล และ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากทุกฝ่ายร่วมอธิบายข้อกฎหมาย ช่วยลดความขัดแย้งทางการเมือง
3. สร้างระบบฐานข้อมูลเปิด (Open Data) ในเรื่องที่เป็นข้อกังวลสาธารณะ ประชาชนควรสามารถเข้าถึงเอกสาร ข้อมูลสถิติ และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินคดีพิเศษผ่านเว็บไซต์กลาง เพื่อให้เห็นว่าทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างยุติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ ตัวอย่าง เว็บไซต์ dsi.go.th เปิดหน้าใหม่ “ความโปร่งใสคดีพิเศษ” ที่รวมคำชี้แจงอย่างเป็นทางการ สถิติคดี และมาตรการถ่วงดุลภายในหน่วยงาน
คดีนี้ไม่ได้เป็นการวินิจฉัยว่ารัฐมนตรีผิดหรือไม่ แต่สะท้อนว่าศาลรัฐธรรมนูญกำลังปกป้องระบบประชาธิปไตยจากความเสี่ยงที่จะเกิดการใช้อำนาจในทางมิชอบ ดังนั้น ในมุมมองของผู้ที่อยู่กับความรู้สึกนึกคิดของประชาชนจึงเห็นว่า เรื่องนี้เป็นโอกาสให้เราทุกฝ่ายทั้งรัฐ นักการเมือง องค์กรอิสระ และประชาชนได้หันมาทบทวนว่า เราจะใช้ กลไกของกฎหมาย เพื่อคุ้มครองความยุติธรรม มากกว่าการใช้ กฎหมายเป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
การนิ่งเฉย หรือ สื่อสารแบบ “ปิด” ในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่ทางรอดของรัฐบาลอีกต่อไป เพราะสังคมต้องการคำอธิบายที่มีเหตุผลมากกว่าคำสั่งที่ขาดการมีส่วนร่วม รัฐบาลที่สามารถ อธิบายก่อนถูกตั้งคำถาม และ รับฟังมากพอๆ กับการพูด จะเป็นรัฐบาลที่รักษาความชอบธรรม และเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเมืองได้อย่างยั่งยืน
ประชาชนไทยกำลังจับตาเหตุการณ์นี้ในฐานะบทพิสูจน์ของกลไกการถ่วงดุลในระบอบประชาธิปไตย ว่าจะสามารถปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณะจากอำนาจนิยมที่อาจแฝงมาในรูปแบบใหม่ได้หรือไม่ ในฐานะนักวิจัย ผมขอสนับสนุนให้ทุกฝ่ายเคารพคำวินิจฉัยของศาลอย่างมีวุฒิภาวะ และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจเชิงนโยบายเสมอ