ระบบการขนส่งสินค้าที่กำลังมาแรง และเป็นทางเลือกต้นๆของผู้ประกอบการไทยในเวลานี้ นั้นคือ “การขนส่งทางราง” ที่มีเวลาการเดินทางขนส่งสินค้าระหว่างต้นทาง และปลายทางที่ค่อนข้างแน่นอน!! โดยมีราคาต้นทุนการขนส่งที่ใกล้เคียงกับการขนส่งทางบก และถึงที่หมายปลายทางได้เร็วกว่าการขนส่งทางน้ำ
โดยเฉพาะในช่วงระยะเวลานี้ การขนส่งสินค้าการเกษตร โดยเฉพาะ “ทุเรียน” ที่กำลังเร่งระบายออกจากสวน ซึ่งเป็นสินค้าที่มีราคาสูง แต่เสียหายง่าย โดยมีจุดหมายปลายทางที่ประเทศจีน
ดังนั้นจึงต้องมีการกำหนดเวลาที่แน่นอนในการเดินทางออกจากประเทศไทย เพื่อไม่ให้ทุเรียนได้รับความเสียหาย ซึ่งการขนส่งทุเรียนไปยังประเทศจีน การเดินทางด้วยระบบรางจึงเป็นทางเลือกที่ชาวสวนเลือกใช้ในการขนส่ง
ทั้งนี้ “สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์” สัมภาษณ์พิเศษ “ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์” อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เผยถึงการขนส่งสินค้าเกษตรทางรางว่า ทุเรียนถือเป็นผลไม้ส่งออกที่มีมูลค่าสูงที่สุดของประเทศไทยและเป็นผลไม้ที่มีความต้องการสูงในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการส่งออกถึง 97% โดยในปี 2567 มีมูลค่าส่งออกทุเรียนสดและแช่แข็งรวมกว่า 157,506 ล้านบาท โดยเฉพาะทุเรียนสดที่มีมูลค่าสูงสุดในเดือนพฤษภาคม 2567 ถึงกว่า 4.3 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในปี 2568 ผลผลิตทุเรียนทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นกว่า 37% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นปริมาณรวมราว 1.767 ล้านตัน รายได้ประมาณ 200,000 ล้านบาท โดยแหล่งผลิตหลักอยู่ในภาคตะวันออก เช่น จังหวัดระยอง จันทบุรี และชุมพร ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อ GDP ภาคเกษตรและการจ้างงานในห่วงโซ่อุปทานทุเรียน โดยที่ผ่านมาการขนส่งทุเรียนของไทยได้พึ่งพาการขนส่งทางถนนเป็นหลัก ทั้งที่การขนส่งทางถนนนั้นมีข้อจำกัดด้านต้นทุน เวลา และความเสี่ยงต่อคุณภาพของผลไม้
อย่างไรก็ตามระยะหลังประเทศไทยได้หันมาปรับเปลี่ยนการขนส่งผลไม้ และทุเรียนผ่านทางราง แทนการขนส่งทางถนนให้มากยิ่งขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2566 นั้น ปริมาณการขนส่งผลไม้ทางรางระหว่างไทยไปยัง สปป.ลาว มีปริมาณการขนส่งมากถึง 708 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 17,700 ตัน และในปี 2567 มีปริมาณการขนส่งผลไม้ทางรางจำนวน 1,108 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 27,700 ตัน ถือได้ว่าปริมาณการขนส่งผลไม้ทางรางนั้นเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี โดยมีเส้นทางหลักในการขนส่งผลไม้ทางราง คือ เส้นทางจากมาบตาพุด – หนองคาย – ผ่าน สปป.ลาว ไปยังประเทศจีน ซึ่งการขนส่งทางรางในเส้นทางนี้นับเป็นก้าวแรกของการพัฒนาระบบรางให้รองรับผลไม้ไทยมูลค่าสูงอย่างเป็นระบบ ประกอบกับศักยภาพของเส้นทางนี้ซึ่งมีระยะทางรวมกว่า 1,750 กิโลเมตร ที่สามารถเชื่อมต่อโดยตรงสู่ตลาดจีนตอนใต้ เส้นทางรถไฟสายนี้จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเชิงกลยุทธ์สำหรับผลไม้ไทย ไม่เพียงทุเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึง มังคุด ลองกอง ลำไย และผลไม้เน่าเสียง่ายอื่นๆ ที่สามารถใช้ประโยชน์จากระบบรางในการลดระยะเวลาการขนส่งและรักษาคุณภาพสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร. พิเชฐ กล่าวว่า การส่งเสริมการขนส่งสินค้าทางรางโดยเฉพาะสินค้าเกษตรมูลค่าสูงอย่างทุเรียน ถือเป็นภารกิจสำคัญของ ขร. ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และแนวนโยบาย Net Zero Emissions ที่ประเทศได้ประกาศต่อประชาคมโลก โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการนำผลการศึกษาทางวิชาการมาสู่การปฏิบัติจริง พร้อมกันนี้ ขร. ยังอยู่ระหว่างการพัฒนามาตรการส่งเสริมและแรงจูงใจเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง (Modal Shift) จากถนนมาสู่ระบบรางในวงกว้างมากขึ้นในอนาคต
"หากเป้าหมายการขนส่งทุเรียนทางรางจำนวน 23,000 ตันในปี 2568 บรรลุผลสำเร็จ จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 1,610 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ใหม่เพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนกว่า 26,680 ตัน ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ"
แต่ถึงอย่างไรปัจจุบันพบว่าการขนส่งผลไม้ทางรางไม่เพียงพอ โดยกรมฯ ได้เร่งรัดให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า จำนวน 946 คัน ขณะนี้กระทรวงคมนาคมได้ส่งเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อบรรจุเข้าวาระแล้ว
ดร.พิเชฐ กล่าวถึงการกำหนดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสายว่า กรมฯได้เสนอให้กระทรวงคมนาคม พิจารณาแนวทางการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ 2) ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน รถไฟฟ้าสายสีเหลือง รถไฟฟ้าสายสีชมพู และรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบภายในพฤษภาคม 2568 ก่อนประกาศใช้ภายในเดือนกันยายน 2568 จากนั้นตามแผนจะดำเนินการมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ภายหลัง ครม. มีมติเห็นชอบแล้ว
อย่างไรก็ตามสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) จะดำเนินการพัฒนาระบบบริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House : CCH) เชื่อมโยงกับแอปพลิเคชันทางรัฐ โดยจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในช่วงเดือนสิงหาคม 2568 และเริ่มดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ระยะที่ 2 ต่อไป
การขนส่งสินค้าเกษตร และการเดินทางของประชาชนด้วยระบบราง จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ!!!