'ศุภจี' สยบดราม่าดุสิตธานี เผยทุกฝ่ายมีบทบาทเท่ากัน ยันบริหาร 9 ปียึดประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น
Tidara D-life May 17, 2025 11:40 PM

“ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ซีอีโอ ดุสิตธานี ออกโรงแจง ยันกระแสข่าวความขัดแย้งในกลุ่มผู้ถือหุ้นในเครือดุสิตธานีไม่เกี่ยวกับการบริหารงานของบริษัท และไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างสายบริหาร เผยทายาททั้ง 2 ฝั่งมีบทบาทในบริษัทเท่าเทียมกัน ยัน 9 ปีในฐานะซีอีโอ ยึดประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้นทุกกลุ่ม การดำเนินงานทั้งหมดของผ่านกระบวนการถ่วงดุลตามหลักธรรมาภิบาล พร้อมวางเป้าหมายลดพึ่งพารายได้จากธุรกิจโรงแรม

ภายหลังเกิดกระแสข่าวว่ามีความขัดแย้งระหว่างผู้ถือหุ้นในเครือดุสิตธานี จนทำให้การประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา มีมติ “ไม่อนุมัติงบการเงิน” ที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี Big Four และผ่านคณะกรรมการตรวจสอบทุกขั้นตอน นับเป็นกรณีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับการบริหารงาน

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น “ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานของบริษัท” และ “ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างสายบริหาร” อย่างที่ถูกตีความในข่าวก่อนหน้านี้

“ข่าวที่ออกมาพูดถึงความขัดแย้งของผู้ถือหุ้น แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ขัดแย้งเรื่องอะไร แล้วมันก็ถูกตีความว่าเพราะทายาทเข้ามาบริหาร ผลงานไม่เป็นไปตามคาด แต่ความจริงคือ คนที่บริหารบริษัทนี้คือตัวดิฉัน ไม่ใช่คนในข่าว”

9 ปียึดประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น

นางศุภจีกล่าวว่า ตนดำรงตำแหน่ง Group CEO มานานกว่า 9 ปี และเป็นผู้วางทิศทางธุรกิจเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้นทุกกลุ่ม ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง พร้อมย้ำว่า การดำเนินงานทั้งหมดของบริษัทผ่านกระบวนการถ่วงดุลตามหลักธรรมาภิบาล (Corporate Governance) ที่เข้มงวด โดยคณะกรรมการบริษัทซึ่งมีตัวแทนจากทุกฝั่งเป็นผู้กำกับดูแลนโยบายต่างๆ

“ทุกการตัดสินใจ รวมถึงงบการเงินที่ไม่อนุมัติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นนั้น ผ่านการตรวจสอบและเห็นชอบจากทั้งสองฝั่งของคณะกรรมการมาแล้ว หากมีปัญหาจริง ทำไมจึงไม่มีใครค้านตั้งแต่ระดับบอร์ด”

ทายาททั้ง 2 ฝั่งมีบทบาทในบริษัทเท่าเทียมกัน

สำหรับประเด็นที่ถูกจับตามองคือเรื่อง “ทายาท” ซึ่งถูกพาดพิงว่าเป็นต้นเหตุของความไม่พอใจในการบริหารนั้น นางศุภจีกล่าวว่า ทายาทจากทั้งสองฝั่งมีบทบาทในบริษัทเท่าเทียมกัน และทำงานอยู่ร่วมกันในหลายตำแหน่ง ทั้งในสายบริหารและด้านการเงิน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหลักฐานว่าบริษัทดำเนินไปด้วยระบบ ไม่ใช่การผูกขาดอำนาจจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

“ทายาทก็ทำงานทั้งสองฝั่ง ไม่ใช่แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างที่ข่าวออกไป และต่างก็อยู่ในบอร์ด อนุมัติเรื่องต่างๆ ร่วมกันหมด”

เป้าหมายลดพึ่งพารายได้จากธุรกิจโรงแรม

นางศุภจี กล่าวด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงของดุสิตธานีในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มต้นจากการมีโรงแรมเพียง 27 แห่งใน 8 ประเทศ ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 58 แห่งใน 19 ประเทศ และเมื่อรวมกับธุรกิจอื่นในเครือ เช่น วิลล่า อาหาร อสังหาริมทรัพย์ และการศึกษา กลุ่มบริษัทมีทรัพย์สินที่ขยายตัวอย่างมหาศาล และมีแบรนด์ภายใต้เครือขยายจาก 4 แบรนด์เป็น 10 แบรนด์ในปัจจุงจุบัน พนักงานจาก 7,000 คน เพิ่มเป็นกว่า 10,000 คน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจโรงแรม ซึ่งในอดีตคิดเป็นสัดส่วนกว่า 90% ของรายได้ทั้งหมด

“เราต้องกระจายความเสี่ยง สร้างฐานธุรกิจให้แข็งแรงเพื่อให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ถ้าเรายังอยู่กับโรงแรมอย่างเดียว วันนั้นที่โควิดมา เราอาจไม่เหลืออะไรเลย”

โครงการใหม่อย่าง “อาศัย” ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรมเจาะตลาดกลุ่มมิลเลนเนียลและเจเนอเรชัน Z ก็ถือเป็นหนึ่งในผลลัพธ์ของวิสัยทัศน์นี้ และเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุดใน Tripadvisor

ไม่อนุมัติงบกระทบแต่ไม่สะเทือน

สำหรับกรณีที่ผู้ถือหุ้นไม่อนุมัติงบการเงินเมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมานั้นนางศุภจีกล่าวว่า เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่บริษัทได้ประสานงานกับตลาดหลักทรัพย์และคณะกรรมการบริษัทเพื่อหาทางออก โดยจัดประชุมบอร์ดด่วน และขอความเห็นชอบให้คณะกรรมการเป็นผู้แต่งตั้งผู้สอบบัญชีเฉพาะกิจไตรมาสแรก เพื่อให้งบการเงินไม่สะดุด

“เราต้องป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับผู้ถือหุ้นทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และตลาดหลักทรัพย์ก็เข้าใจความเสี่ยงนั้นดี” นางศุภจีกล่าว และว่า ส่วนตัวหวังว่า ในการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งต่อไปในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ สถานการณ์จะคลี่คลาย และทุกฝ่ายจะสามารถหาข้อยุติเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทได้

 ย้ำดุสิตธานีไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง

นางศุภจีกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า สิ่งที่ตนทำมาตลอด 9 ปี ไม่ได้เพื่อสร้างภาพ ไม่ใช่เพื่อเอาชนะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เพื่อให้ดุสิตธานี เป็นแบรนด์ที่ยั่งยืน และสามารถทำหน้าที่ ตัวแทนของประเทศไทยในสายตาชาวโลกได้อย่างสมศักดิ์ศรี

“ดุสิตเหมือนอัญมณีของประเทศ เราไม่ใช่แค่บริหารโรงแรม แต่เรากำลังส่งความเป็นไทยออกไปให้คนทั่วโลกเห็น นี่คือพันธกิจของเรา ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งในข่าวเลย” นางศุภจีกล่าวทิ้งท้าย

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.