“มั่นคงเคหะการ” หรือ MK ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ดัน “พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์” หรือ PD ขึ้นแท่นธุรกิจหลัก ลุยนิคมอุตสาหกรรมบางปะกง มูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท ร่วมทุน BTS เจาะตลาด EEC พร้อมเร่งระบายสต็อกบ้าน 2.9 พันล้าน เตรียมออกจากธุรกิจที่อยู่อาศัยใน 3 ปี
วันที่ 15 พ.ค. 2568 นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่าบริษัทเตรียมปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ด้วยการวางทิศทางการดำเนินงานใหม่ โดยชูธุรกิจกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมเป็นธุรกิจหลัก ภายใต้บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (PD) ซึ่ง MK ถือหุ้น 100% และบริษัทพร้อมที่ออกจากกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยโดยสมบูรณ์
โดยคาดว่าจะ ใช้เวลา 2-3 ปีจากนี้ สำหรับระบายสต็อกบ้านภายใต้แบรนด์ชวนชื่น ที่ปัจจุบันมีทั้งหมดประมาณ 800 ยูนิต กระจายอยู่ใน 10 โครงการ ทั่วกรุงเทพฯ-ปริมณฑล คิดเป็นมูลค่ารวม 2,900 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮ้าส์ ที่ราคาเฉลี่ย 3-4 ล้านบาท รวมถึงยังมีแผนขายที่ดินคิดเป็นมูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งเดิมเตรียมไว้รองรับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในอนาคต โดยที่ดินส่วนใหญ่กระจายอยู่ในต่างจังหวัด อาทิ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และ สุพรรณบุรี เป็นต้น
“5 ปีที่ผ่านมา บริษัทไม่ได้ซื้อที่ดินใหม่สำหรับพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเลย ประกอบกับในปี 2567 จะพบว่า PD มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 47% ของรายได้รวมของ MK และสร้างสัดส่วนกำไรขั้นต้นคิดเป็น 54% เรามองว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นโกดัง และโรงงานให้เช่า เป็นไปได้ด้วยดี มีอัตราการเช่าค่อนข้างสูง สามารถยืนด้วยขาของมันเอง โดยที่ไม่ต้องมีธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยเข้ามา ก็จะทำให้ภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทมีกำไรได้”
ทั้งนี้ MK รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 มีรายได้รวม 394.99 ล้านบาท ลดลง 3.84% ขณะที่มีขาดทุนสุทธิ 126.66 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยที่ลดลง ขณะที่บริษัทสามารถบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น และไม่มีผลขาดทุนขั้นต้นจากธุรกิจ Wellness ที่ได้จำหน่ายออกไปแล้ว ที่สำคัญธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม มีรายได้เพิ่มขึ้น 57.82% กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 67.64 ล้านบาท เป็น 109.17 ล้านบาท
นายวรสิทธิ์ กล่าวว่า การปรับโครงสร้างบริษัทในครั้งนี้ ถือเป็นการวางรากฐานใหม่ เพื่อให้กลุ่ม MK สามารถเติบโตมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว มุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจที่สามารถต่อยอดศักยภาพท่ามกลางการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่ง PD พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ปัจจุบันสามารถติด 1 ใน 3 ผู้นำธุรกิจคลังสินค้า-โรงงานให้เช่า พื้นที่โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน ของไทย และล่าสุดยังเตรียมที่จะขยายสู่ธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมบางปะกง ภายใต้ บริษัท บางปะกง อินดัสเทรียล เอสเตท จำกัด โดยเป็นการ่วมทุนระหว่าง PD กับ กลุ่ม BTS ในสัดส่วนการถือหุ้น 50/50 มูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท
ทางด้านน.ส.รัชนี มหัตเดชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาและบริหารโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน เปิดเผยว่า การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมบางปะกง นับเป็นก้าวสำคัญของ PD ในการต่อยอดศักยภาพของบริษัท โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี ที่กำลังเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก
ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าว ภายใต้ความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย 7 กลุ่ม เช่น อุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร, อุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมเบา รวมถึงอุตสาหกรรมดิจิทัลอย่าง ดาต้า เซ็นเตอร์, เทคโนโลยีคลาวด์
สำหรับ นิคมอุตสาหกรรมบางปะกง เนื้อที่รวม 965 ไร่ ตั้งอยู่ที่ ต.คลองตำหรุ อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี จะถูกพัฒนาในลักษณะนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ ปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และคาดว่าจะเปิดดำเนินการประมาณปี 2570 โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดินในนิคมฯ ปีแรก ไว้ที่ประมาณ 680 ไร่ สำหรับราคาขายต่อไร่ 12-13 ล้านบาท
น.ส.รัชนี กล่าวด้วยว่า ในส่วนที่หลายฝ่ายกังวลผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐฯ ซึ่งจนถึงปัจจุบันบริษัทยังไม่เห็นสัญญานใดๆ ที่ผู้ประกอบการที่เช่าพื้นที่จะย้ายออก โดยมีแต่ผู้ประกอบการที่ชะลอดู และอีกกลุ่มคือขยายเพิ่ม เพราะเป็นโอกาสที่จะส่งออกไปยังต่างประเทศมีมากขึ้น
“จะเห็นว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จีนส่งออกได้น้อยลง แต่อานิสงส์ตกที่อาเซียนส่งออกได้เพิ่มมากขี้น”
น.ส.รัชนี กล่าวและว่า อยากให้ภาครัฐมองตรงจุดนี้ โดยเร่งการเจรจากับคู่ค้าว่าจะทำอย่างไร เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน เพื่อให้นักลงทุนวางแผนในอนาคตได้ถูกต้อง อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ เนื่องจากบริษัททำโครงการฟรีเทรดโซน ดังนั้นในเอกสารสำคัญหลายอย่าง เช่น Certificate of Origin เอกสารยืนยันถิ่นกำเนิด ซึ่งปัจจุบันยังเป็นประเด็นอยู่ทำให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจว่ามีหน่วยงานที่เข้ามารับผิดชอบตรงนี้โดยตรง
ด้านผลประกอบการปี 2567 ของ PD มีรายได้รวมอยู่ที่ 898 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากการเช่าและบริการ 485 ล้านบาท สัดส่วนรายได้จากการเช่าเติบโตถึง 21% จากปีก่อนหน้า จึงเร่งพัฒนาโครงการคลังสินค้าและโรงงานให้เช่าในไปป์ไลน์ ได้แก่ โครงการ BFTZ 4 บางปะกง, โครงการ BFTZ 6 ถ.บางนา-ตราด กม.19 ให้แล้วเสร็จ วางเป้าปี 2568 รักษาอัตราการเช่า เฉลี่ยทุกโครงการให้สูงกว่า 90% และเซ็นสัญญาผู้เช่าใหม่อีกกว่า 200,000 ตร.ม.
ขณะเดียวกันล่าสุด บริษัทเตรียมเพิ่มทุนมูลค่าไม่เกิน 3,350 ล้านบาท ใน ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล หรือ PROSPECT REIT เพื่อเข้าลงทุนเพิ่มเติมในโครงการ BFTZ 1 ถ.บางนา-ตราด กม.23, โครงการ BFTZ 2 ถ.เทพารักษ์, โครงการ BFTZ 3 ถ.บางนา-ตราด กม.19 เข้ากอง PROSPECT REIT พื้นที่ให้เช่ารวม 221,678 ตร.ม.โดยกำหนดการจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนระหว่างวันที่ 19–23 พ.ค. 2568