เปิดผล นิด้าโพล ชี้ ประชาชนห่วงอนาคตเด็กไทย มองโรงเรียนรัฐ มีคุณภาพดี
ข่าวสด May 18, 2025 11:20 AM

เปิดผลสำรวจ นิด้าโพล เผย ประชาชนกังวลอนาคตเด็กไทย ชี้ ค่าใช้จ่ายสูง ตัดโอกาสเข้าเรียน มอง โรงเรียนรัฐ มอบการศึกษาที่มีคุณภาพดีให้เด็ก

วันที่ 18 พ.ค. 2568 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายเพื่อการศึกษาไทย Thailand Education Partnership (TEP) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “เปิดเทอมแล้ว ลูกหลานเรียนที่ไหนดี”

ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 12-14 พ.ค. จากประชาชนที่มีอายุ 26 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความกังวลที่มีต่ออนาคตของเยาวชนไทยในด้านการศึกษาและการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความกังวลที่มีต่ออนาคตของเยาวชนไทย ทั้งในเรื่องการเข้าถึงระบบการศึกษา ความเท่าเทียม คุณภาพ การสนับสนุน และนโยบายด้านการศึกษา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 30.69 ระบุว่า ค่อนข้างกังวล รองลงมา ร้อยละ 25.19 ระบุว่า ไม่ค่อยกังวล ร้อยละ 22.21 ระบุว่า กังวลมาก และร้อยละ 21.91 ระบุว่า ไม่กังวลเลย

สำหรับประเภทของโรงเรียนที่สามารถมอบการศึกษาที่มีคุณภาพดีแก่เด็กไทย พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 46.26 ระบุว่า โรงเรียนรัฐ รองลงมา ร้อยละ 26.18 ระบุว่า โรงเรียนเอกชน ร้อยละ 7.18 ระบุว่า โรงเรียนนานาชาติ ร้อยละ 6.87 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ ร้อยละ 5.80 ระบุว่า โรงเรียนสาธิต ร้อยละ 5.04 ระบุว่า โรงเรียนสองภาษา (Bilingual School)

ร้อยละ 1.22 ระบุว่า โรงเรียนศาสนา และโรงเรียนทางเลือก (โรงเรียนที่มีระบบการศึกษาแบบเปิดให้มีความยืดหยุ่น ทั้งในด้านหลักสูตร การเรียนการสอน การประเมินผล โดยเน้นพัฒนาทักษะตามความสามารถเฉพาะตัวของเด็ก) ในสัดส่วนที่เท่ากัน และร้อยละ 0.23 ระบุว่า โฮมสคูล (Homeschool เป็นแบบการศึกษาที่ผู้เรียนเลือกใช้บ้านเป็นฐานการเรียนรู้แทนการไปเรียน โดยมีพ่อแม่หรือผู้ปกครองเป็นครูผู้สอน)

ทั้งนี้ เหตุผลที่ประชาชนเลือกประเภทของโรงเรียนที่สามารถมอบการศึกษาที่มีคุณภาพดีแก่เด็กไทย พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 46.64 ระบุว่า ครูมีคุณภาพ รองลงมา ร้อยละ 44.75 ระบุว่า หลักสูตรที่ทันสมัย ร้อยละ 33.69 ระบุว่า ใกล้บ้าน ร้อยละ 32.46 ระบุว่า โรงเรียนมีอุปกรณ์การเรียน การสอนที่ทันสมัย ร้อยละ 31.31 ระบุว่า ราคาที่เหมาะสม

ร้อยละ 26.48 ระบุว่า มีสังคมที่ดีในโรงเรียน ร้อยละ 26.23 ระบุว่า ความปลอดภัย ร้อยละ 15.33 ระบุว่า เด็กได้ภาษาที่ 2 (เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน เป็นต้น) ร้อยละ 11.23 ระบุว่า ชื่อเสียงที่ผ่านมาของโรงเรียน และร้อยละ 8.03 ระบุว่า การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แก่เด็ก

สำหรับการมีโอกาสให้บุตรหลานหรือเยาวชนในความดูแลได้เข้าเรียนในโรงเรียนตามที่เลือกไว้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 58.44 ระบุว่า มีโอกาสทุกคน รองลงมา ร้อยละ 15.16 ระบุว่า ไม่มีใครมีโอกาส ร้อยละ 12.63 ระบุว่า มีโอกาสบางคน ร้อยละ 11.23 ระบุว่า ไม่มีบุตรหลาน/เยาวชนในความดูแล และร้อยละ 2.54 ระบุว่า บุตรหลานในความดูแลยังไม่ถึงวัยเข้าโรงเรียน

โดยผู้ที่ระบุว่า มีโอกาสบางคน และไม่มีใครมีโอกาส ให้เหตุผลที่ทำให้บุตรหลานหรือเยาวชนในความดูแลบางคนหรือทุกคนไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนตามรูปแบบที่เลือกได้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 56.05 ระบุว่า ค่าใช้จ่ายสูงเกินไป รองลงมา ร้อยละ 14.16 ระบุว่า อยู่ไกลบ้าน

ร้อยละ 8.55 ระบุว่า สอบไม่ผ่าน และบุตรหลาน/เยาวชนในความดูแล ปฏิเสธที่จะทำตาม ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 7.97 ระบุว่า รับจำนวนจำกัด และร้อยละ 4.72 ระบุว่า ในอดีตไม่มีโรงเรียนที่มีรูปแบบที่หลากหลายอย่างปัจจุบัน

ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนถึงหน่วยงานที่จะสามารถช่วยเหลือประชาชนในการสนับสนุนและพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 65.50 ระบุว่า รัฐบาล (รวมกระทรวงและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง) รองลงมา

ร้อยละ 18.86 ระบุว่า ไม่มีภาคส่วนใดทำได้ ต้องพึ่งพาตนเอง ร้อยละ 9.54 ระบุว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร้อยละ 4.12 ระบุว่า ผู้ประกอบการภาคธุรกิจ (เช่น การเปิดโรงเรียนเองของภาคธุรกิจ) ร้อยละ 1.45 ระบุว่า ประชาสังคม หรือ องค์กรไม่แสวงหากำไร และร้อยละ 0.53 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.