ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า เมื่อวันที่ 18 พ.ค.68 ที่ สน.สำเหร่ นายศุภ หรือนายเอ๋ อายุ 56 ปี เจ้าของร้านอาหารชื่อดังริมแม่น้ำเจ้าพระยา ย่านเจริญนคร ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนว่าถูกลูกจ้างที่มามัครมำงานใหม่ลักทรัพย์ภายในคอนโดหรู รวมถึงรถยนต์ส่วนตัว มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 3 ล้านบาท ขณะนี้คนร้ายถูกจับกุมแล้ว แต่ทรัพย์สินที่ถูกขโมยกลับมายังไม่ครบ วอนเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามของกลางที่เหลือก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป

นายศุภ  กล่าวว่า ได้รับนายไบร์ท (ไม่ทราบชื่อ-นามสกุลจริง) เข้ามาทำงานในร้านอาหารเมื่อวันที่ 7 เมษายน 68 เพียงไม่กี่วันก็เริ่มได้รับความไว้วางใจ ถึงขั้นมอบหมายให้นำรถยนต์ส่วนตัว ยี่ห้อฮอนด้า ซีอาร์วี สีขาว ไปจอดที่คอนโดหรูในย่านเจริญนคร ระหว่างที่เดินทางไปทำธุระที่เกาะสมุย กระทั่งวันที่ 19 เมษายน 68 นายศุภเดินทางกลับมาพบว่ารถยนต์ของตนหายไปจากลานจอด เมื่อขึ้นไปห้องพักพบว่าตู้เซฟถูกเปิด พบว่าพระเครื่องเก่าแก่ สร้อยคอทองคำ สร้อยข้อมือเพชร นาฬิกาหรู และกระเป๋าแบรนด์เนม ถูกขโมยหมด

หลังจากเข้าแจ้งความต่อ ร.ต.อ.วิเชียร สิมมาโคตร รองสว.(สอบสวน ) สน.สำเหร่ คดีได้มีความคืบหน้า โดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน นำโดย พ.ต.ท.ชโลธร วัฒนะโชติ รอง ผกก.สส.สน.สำเหร่ และ ร.ต.อ.รัฐไทย สุนทรกะลัมพ์ รอง สว.(สอบสวน) สน.สำเหร่  สามารถจับกุมนายไบร์ทได้ในเวลาต่อมา แต่ทรัพย์สินส่วนใหญ่ ถูกนำไปขายและใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ทั้งนำเงินไปซื้อรถเบนซ์ และเข้ารับการศัลยกรรมความงามใบหน้า

แม้คนร้ายจะรับสารภาพและให้ข้อมูลบางจุดเกี่ยวกับที่อยู่ของทรัพย์สิน แต่ตำรวจเพียงพาไปตรวจสอบร้านรับซื้อของกลางแค่ครั้งเดียว และเมื่อร้านปิดก็ไม่มีการตามต่อ ไม่มีการนัดหมายซ้ำ สร้างความผิดหวังให้กับผู้เสียหายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะพระเครื่องทองคำ สมบัติมีค่าทางใจและประเมินราคาไม่ได้

นายศุภ กล่าวทั้งน้ำตาคลอว่าผมเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่มีคดีมากมาย แต่เรื่องนี้คนร้ายรับสารภาพหมดแล้ว รู้ว่าเอาของไปไว้ไหน แต่ตำรวจกลับบอกแค่ ‘ตามไม่ได้แล้ว’ แบบนี้ผมรู้สึกเหมือนถูกทิ้วันนี้คนร้ายถูกจับก็จริง แต่ของของผมยังหาย เหมือนความยุติธรรมยังมาไม่ถึง ผมขอแค่ได้ของคืน จะได้ใช้ชีวิตต่ออย่างไม่เจ็บปวดไปมากกว่านี้

โดย เจ้าของร้านกล่าวทิ้งท้ายด้วยความคาดหวัง วอนผ่านสื่อ ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับคดีนี้อย่างจริงจัง และติดตามทรัพย์สินของกลางที่ยังเหลืออยู่กลับคืนมา พร้อมเรียกร้องให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างหรือเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก