“ภูมิธรรม” ไม่ฟันธง “รัฐประหาร” ไม่เกิดขึ้นอีก ขอทุกฝ่ายอดทน ใช้กระบวนการแก้ปัญหาแทน “ทางลัด” ด้าน“โรม” ฟาดเดือด “นายกฯอิ๊งค์” ทำตัวให้สมเป็นนายกฯ ปล่อยให้ซื้อขาย “งูเห่า” ทำการเมืองเสื่อมทั้งระบบ
ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 22 พ.ค.68 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ในวาระครบรอบ 10 ปีเหตุการณ์รัฐประหารปี 2557 ว่า ทหารเป็นกลุ่มบุคคลที่มีหน้าที่สำคัญในการรักษาความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศ ซึ่งหลายครั้งก็มีความห่วงใยต่อสถานการณ์บ้านเมือง แต่ในมุมของประชาชนและฝ่ายพลเรือน การแก้ไขปัญหาด้วยการรัฐประหารเป็นแนวทางที่ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาประชาธิปไตยที่ควรเดินหน้าไปตามครรลองอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ทหารมองว่าสังคมมีปัญหาและไร้ทางออก จึงเลือกใช้รัฐประหารเป็นทางออก แต่ฝ่ายพลเรือนมองว่า ประชาธิปไตยควรได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยความอดทน ไม่ใช่การตัดตอนด้วยวิธีลัด การรัฐประหารจึงเป็นมุมมองที่แตกต่าง แต่ไม่ว่าเลือกแนวทางไหน ต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และยอมรับหลักประชาธิปไตยร่วมกัน
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า เหตุการณ์รัฐประหารควรเป็นบทเรียนให้ทุกฝ่ายตระหนักว่า ระบบประชาธิปไตยมีกติกาที่ต้องอาศัยความอดกลั้น การใช้กระบวนการที่มีอยู่ในระบบ เช่น การแสดงออกหรือการชุมนุมตามสิทธิรัฐธรรมนูญ เป็นหนทางที่ควรใช้ให้เต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหา มากกว่าการใช้กำลังหรือทางลัดที่ย้อนแย้งกับหลักประชาธิปไตย
เมื่อถามว่า เหตุการณ์รัฐประหารปี 2557 จะเป็นครั้งสุดท้ายของประเทศหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่มีใครสามารถรับรองได้อย่างชัดเจนว่าจะไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นอีก แต่ยืนยันว่าจากการได้ทำงานร่วมกับผู้นำเหล่าทัพในปัจจุบัน พบว่ามีมุมมองที่ก้าวหน้าและทันสมัยมากขึ้น เข้าใจบริบทโลกและผลกระทบจากการใช้อำนาจทางการเมือง
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า รัฐประหารจะไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่มีอีกเลย หากไม่อยากให้เกิดขึ้น เราทุกคนต้องช่วยกันใช้กระบวนการที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ความเห็นต่างคือความหลากหลายของประชาธิปไตย เสียงส่วนใหญ่แม้อาจผิดพลาด แต่ระบบก็มีกลไกตรวจสอบไว้แล้ว
“สังคมไทยกำลังก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และประชาชนเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของสิทธิเสรีภาพ การรัฐประหารในรูปแบบเดิมอาจไม่เกิดขึ้นอีก แต่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันเฝ้าระวังและสร้างความเข้าใจ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างสันติและยั่งยืน” นายภูมิธรรม กล่าว
ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ตนเห็นปัญหาบ้านเมืองแล้วก็ไม่สบายใจ ทั้งความขัดแย้งภายในรัฐบาล จึงทำให้รู้สึกว่าปัญหาหลายๆ อย่างของประชาชน ไม่ได้รับการตอบสนอง กลายเป็นว่ารัฐบาลสนใจแต่ในเรื่องความมั่นคงของรัฐบาล ทั้งที่ควรที่จะสนใจปัญหาของประชาชนด้วย การที่รัฐบาลพยายามส่งสัญญาณให้พรรคการเมืองบางพรรคไปซื้องูเห่าและไปดูดงูเห่า อาจสร้างเสถียรภาพระยะสั้นให้กับรัฐบาลแต่เป็นการทำลายการเมืองอย่างเป็นระบบ และส่งผลกระทบระยะยาว ทั้งนี้ การที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พูดอย่างชัดเจนว่าการซื้องูเห่าเหมือนเป็นการเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนที่ทำงานที่ใหม่ ซึ่งการเปรียบให้พรรคการเมืองเป็นเหมือนบริษัทเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ในวันที่พรรคเพื่อไทยได้รับผลกระทบก็โชว์แคมเปญไล่หนูตีงูเห่า แต่มาวันนี้ แม้มีงูเห่าก็อยู่ร่วมกันได้ และให้หนูอยู่ในจุดที่ควรจะอยู่ ผมจึงคิดว่าการทำการเมืองเช่นนี้ เป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุด
“อยากฝากถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ว่า เมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ควรดำรงตนให้สมกับเป็นนายกรัฐมนตรี และควรผลักดันให้สังคมโดยเฉพาะการเมืองในสภาและประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง ตราบใดที่นักการเมืองสามารถเปลี่ยนพรรคไปมาได้ โดยไม่ต้องมีอุดมการณ์ เพียงแค่ขอให้มีผลประโยชน์ตอบแทนกันอย่างหนำใจ จะนำไปสู่การเมืองที่เลวทราม และไม่ได้เป็นการเมืองที่ดีสำหรับสังคมไทยแน่นอน" นายรังสิมันต์ กล่าว
เมื่อถามถึงการปะทะเดือดในโซเชียลระหว่างพรรคปชน.และพรรคเพื่อไทย (พท.) มองว่าเหมือนเป็นการตีปิงปองกันไปมาหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรื่องตีปิงปอง เป็นเรื่องที่ทุกคนไปคิดกันเอง แต่ขอยืนยันว่าการพูดของนายกรัฐมนตรีเหมือนเป็นการรับรองว่าการซื้องูเห่าสามารถทำได้ แต่ถ้าหากนายกรัฐมนตรีมองว่ารับไม่ได้กับการซื้องูเห่า อาจทำให้มีการชะลอการซื้อตัวสส.ลง รวมถึงแนวโน้มเรื่องการดูดงูเห่าก็อาจจะชะลอลงด้วย เพราะไม่ได้มีการรับประกันว่าทำไปจะได้ตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะคนที่คิดเรื่องนี้ว่าทำไปอาจจะแลกตำแหน่งรัฐมนตรีไม่ได้ เพราะดูดงูเห่าทุกวันนี้เหมือนการสะสม สส. และไปแลกตำแหน่งรัฐมนตรี นั่นหมายความว่าตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่ได้ ไม่ใช่เพราะความสามารถ ไม่ต้องสนใจเลือกตั้ง ไม่ต้องสนใจเจตจำนงของประชาชน ไม่ต้องสนใจคำสัญญาและการเมืองที่ประชาชนอยากเห็น เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้วก็ใช้เงินทอง ซื้อสัญญาใจไปดูด สส.กันมา แล้วเอาไปแลกรัฐมนตรี ทำการเมืองแบบนี้ประเทศไทยจะอยู่อย่างไรทุกอย่างมีราคามีมูลค่า ไม่มีสมการของประชาชนอยู่ข้างในเลย ในพรรคเพื่อไทยเดือดร้อนหรือเจ็บปวดก็โชว์แคมเปญไล่หนูตีงูเห่า แต่วันนี้ตีแต่หนูงูเห่าเก็บไว้
เมื่อถามว่า พรรค พท.บอกว่าที่สส.ย้ายพรรค เป็นเพราะปัญหาภายของพรรค ปชน.เองนั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า พรรค พท.คงไม่รู้ว่าภายในพรรคปชน.เป็นอย่างไร พรรคปชน.พยายามทำการเมืองอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้มีเงินเดือนและผลประโยชน์ให้กับสส. ดังนั้นสมาชิกในพรรคต้องทำงาน เสียสละตัวเองเพื่อการเมืองที่อยากเห็นด้วยซ้ำไป แต่ยอมรับว่าสส.บางคนอาจไม่ได้มีความเข้มแข็ง ทางความคิดความเชื่อ ดังนั้น จึงเป็นปัญหาของนักการเมืองคนนั้น และเป็นปัญหาของผู้ที่มาจูงใจ เมื่อมีสัญญาเกิดขึ้นก็ยอมรับว่าเกิดปัญหางูเห่า แต่พรรคก็พยายามคัดกรองและทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ปัญหางูเห่าทุเลาลง และคิดว่ามาถูกทาง และต้องหาวิธีการปรับปรุงต่อไปพรรคน้อมรับ คำติชมจากทุกฝ่ายแต่ขอตั้งคำถามกลับไปว่าทำไมต้องมีผู้ซื้องูเห่า และคนเหล่านี้ไม่ต้องไปแคร์ภาพลักษณ์ หรือคำสัญญากับประชาชน ตนคิดว่าการเมืองแบบนี้ก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน