โน้ตเล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นของอาการว่า ขณะนั้นเขาอยู่บ้านคนเดียวในขณะที่ครอบครัวเดินทางไปญี่ปุ่น เขารู้สึกปวดท้องจึงคิดว่าเป็นแค่โรคกระเพาะธรรมดา แต่เมื่อภรรยากลับมาพาไปโรงพยาบาลและทำการตรวจอย่างละเอียด พบว่าในถุงน้ำดีมีนิ่วถึงกว่า 30 เม็ด จนถุงอักเสบลามไปถึงตับ แพทย์หลายแห่งไม่กล้าผ่าตัดเพราะกังวลว่าอาจเป็นเนื้อร้ายที่ตับ จนท้ายที่สุดต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลศิริราช
การผ่าตัดกินเวลานานถึง 7 ชั่วโมง ทำให้คนในครอบครัวเป็นห่วงอย่างมาก แม่ต้อยภาวนาขอให้การผ่าตัดสำเร็จ ขณะเดียวกัน โน้ตก็เตรียมตัวเผชิญความเป็นไปได้ทุกอย่าง เขาถึงกับตัดสินใจขายรถยนต์คู่ใจและนาฬิกาสุดรักเพื่อเตรียมค่าใช้จ่าย โดยไม่บอกใคร ไม่อยากเป็นภาระใครทั้งสิ้น
ความทรงจำระหว่างการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเต็มไปด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทั้งแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในวันที่ผ่าตัดเสร็จใหม่ๆ ขณะที่เขานอนอยู่ชั้น 8 ของตึกนวมินทร์ รพ.ศิริราช และไม่สามารถขยับตัวได้เต็มที่ รวมถึงเหตุการณ์ที่ภรรยาเกิดหายตัวไปในช่วงชุลมุน ยิ่งตอกย้ำความเครียดในใจ

นอกจากสภาพร่างกายที่อ่อนแอ สภาพจิตใจของโน้ตก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน เขาเล่าว่าตนถึงขั้นคิดว่าจะไม่รอด และได้พูดคุยกับภรรยาและลูกๆ ไว้แล้วว่า หากเป็นเนื้อร้ายก็ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ หรือแม้แต่ปั๊มหัวใจ ขอแค่จากไปอย่างสงบ
อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางความสิ้นหวัง เขายังมีแรงใจอยากกลับไปทำงาน เพราะกลัวว่าจะถูกแทนที่โดยคนอื่น และกลัวว่าไม่มีรายได้เลี้ยงตัวเอง เมื่อเห็นรายการที่ตัวเองเคยทำมีนักแสดงคนอื่นไปแทน เขาได้แต่ภาวนาในใจให้ผู้ชมไม่ชอบ และทีมงานไม่เลือกให้ทำแทนถาวร

แม่ต้อยยังเล่าอีกว่า เธอซื้อรถคันใหม่ให้สามีหลังจากเขาขายรถคู่ใจไป แม้จะไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไร แต่ก็อยากให้เขามีกำลังใจและมองไปข้างหน้า ส่วนโน้ตเองก็ยอมรับว่า หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ ทำให้เขาเห็นคุณค่าของครอบครัว โดยเฉพาะภรรยาที่คอยดูแลเขาอย่างไม่ห่าง แม้ก่อนหน้านี้ทั้งคู่จะแยกห้องนอนกันมานานนับสิบปี เพราะเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายไม่รัก
“ผมไม่ใช่คนดี คงไม่ตายง่าย ๆ” โน้ตพูดปิดท้ายพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าที่บอบช้ำ แต่แฝงไว้ด้วยความหวัง ความเข้มแข็ง และบทเรียนครั้งใหญ่ในชีวิตว่า "สุขภาพ" คือของขวัญล้ำค่าที่สุด และ "ความรักแท้" มักปรากฏชัดที่สุดในยามวิกฤต.