ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
"...ชีวิตในทุกๆชีวิต ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราว..สมหวังผิดหวัง หรือทุกข์สุขนานา...ทุกอย่างล้วนบังเกิดขึ้นเป็นสัมภาระที่จักต้องแบกหามไปจนสิ้นลมหายใจ
เหตุนี้ หากเราเอาแต่จ่อมจมอยู่กับความยึดมั่นถือมั่น..ชีวิตก็รังแต่จะมืดมนในเชิงประสบการณ์..ไม่อาจเรียนรู้ถึงความหมายอันถ่องแท้แจ้งชัดของการมีชีวิตอยู่ได้อย่างเข้าใจ...!
นั่นจึงทำให้หลายๆครั้ง..คนเราต้องประสบกับความทุุกข์ที่หยั่งลึกลงไปในใจ..ยิ่งนานวันก็ยิ่งจะจินตนาการอันตราย..ถึงรสชาติและบทบาทของมันไปในทางร้าย..สู่พื้นที่ความทุกข์มากกว่าความสุข..
..มนุษย์เรามักมีจินตนภาพเป็นเช่นนี้..บดขยี้ตัวเองอย่างคาดไม่ถึง..สร้างมายาภาพแห่งความเป็นศัตรูแห่งชีวิตขึ้นมาเองจนเป็นนิสัย ...มันจึ่งคือ..ภาวะจริงในนามของเหตุสมมติ..กระทั่งวันหนึ่งเมื่อสัญชาตญาณแห่งชีวิตได้ตระหนักถึงวิถีแห่งสัจจะ..นั่นจึ่งเป็นเทคนิคสำคัญของจิตใจ..ที่จะทำให้เกิดแสงฉายแห่งการเป็นปัญญาญาณ..โดยไม่วาดแต่งความเป็นศัตรูต่อตัวเองขึ้นมา..แม้เมื่อใด..!"
ความสำคัญข้างต้น..เป็นนัยที่ทำให้เราได้ตระหนักรู้กลไกของการก่อรูปรอยชีวิต..ผ่านหนังสือที่น่าสนใจของ นักจิตวิทยาเพื่อการพัฒนาตนเอง..ชาวญี่ปุ่น “โนบุ โยริ โอชิมะ” (Nobu Yori Oshima)..
"เทคนิคปล่อยผ่าน:ไม่รับเอาเรื่องน่ารำคาญเข้ามาในชีวิต"(How to Live a Free Life).. ว่ากันว่า ..ในแต่ละวันเราต้องพบเจอ เรื่องน่ารำคาญมากมาย ..ซึ่งโถมเข้าใส่เราทั้งในรูปของคำพูดและการกระทำ..และ ถ้าหากว่าเราเก็บมาคิดมาก ก็ไม่เพียงแต่มันจะทำให้เรารกหัว แต่มันก็ยังจะทำให้ตัวเราไม่มีความสุขอีกด้วย...
หนังสือนี้จึงเปรียบได้กับ "เทคนิคปล่อยผ่าน" ..เทคนิคที่จะช่วยให้เรามีภูมิต้านทาน ต่อเรื่องไร้สาระต่างๆ ที่ประเดประดังเข้ามาในชีวิต..โดยอ้างจากคำแนะนำทางจิตวิทยาที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้คนมากมาย เช่น..ชาวญี่ปุ่นกว่าเจ็ดหมื่นคน..ให้ได้รับรู้ถึงการพิจารณา"เลิกนิสัยการเอาใจเขามาสู่ใจเรา"/การทำตัวเป็นผู้รู้สึกช้า/อย่าขอโทษคนอื่นที่กำลังโมโห/หรือ.. ไม่ใส่ใจเรื่องที่อยู่ไกลเกินระยะมือเอื้อม..เป็นต้น.!
วิถีแห่งการปล่อยผ่านกอปรด้วยหลักการและเเง่คิดแถห่งการไตร่ตรองมากมาย..นับแต่..การต้อง “ปล่อยผ่านจริงๆ” ..โดยอย่าให้ความน่ารำคาญเข้ามาครอบงำชีวิตเรา..ด้วยเพราะ..คนที่รู้จักปล่อยผ่าน..จะสามารถแสดงศักยภาพของตัวเองได้เต็มที่ แถมยังไม่ถูกรบกวนจากเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ผู้อื่นก่อขึ้นมาให้..โดยเราจะต้องขีดเส้นแบ่งระหว่างเรื่องที่เราใส่ใจและปล่อยผ่าน ด้วยการตั้งคำถามว่า.. “การใส่ใจในเรื่องนั้นเป็นประโยชน์กับเราหรือไม่?"..
... นอกจากนี้เราต้องตระหนักรู้ให้ได้ว่า..คนที่ทำให้เรารู้สึกน่ารำคาญนั้น..มีความเป็นไปได้สูงที่จะอยู่ในโหมดตัวร้าย..กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆ..ก็สามารถกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกให้ใครต่อใครแสดงท่าทีน่ารำคาญออกมาได้
..ดังนั้น..ยิ่งเราดำเนินชีวิตอย่างนอบน้อมเมื่อใด.. “สัตว์ประหลาดในโลกแห่งฝันร้าย"ก็จะเฝ้าทำตัวเหิมเกริม ด้วยการทำเรื่องแย่ๆให้เกิดขึ้น..อยู่เนืองๆ..!
..การปล่อยผ่านและเลี่ยงพ้นคยน่ารำคาญ..ถูกระบุถึงวิธีการที่น่าจดจำและนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้ดังนี้..
.."ไม่ควรต่อปากต่อคำไปเสียทุกเรื่อง เพราะการต่อปากต่อคำจะทำให้ความน่ารำคาญ..ยิ่งพูดยิ่งน่ารำคาญ และขณะที่เราเกิดความรู้สึกว่า..บางสิ่งน่รำคาญอย่างสุดๆขึ้นมา..นั่นหมายถึงว่า..เรากำลังเข้าไปอยู่ในโหมดการเป็น “ตัวร้าย” แล้ว..เหตุนี้จึงอย่าปล่อยให้ความเครียดสะสม..จนต้องย้อนกลับไปมีสภาพจิตใจอ่อนแอเหมือนเด็ก..
เราทุกคนจะมีสุขภาพดีขึ้นแน่เมื่อรู้จักปล่อยผ่าน หรือไม่ใส่ใจในเรื่องที่อยู่ไกลเกิน "ระยะมือเอื้อม"..ที่สุดแล้ว..เราทุกคนจักต้อง “ตอบคำถามด้วยคำถาม” ให้ได้..!
"โอชิมะ"ยังได้ชี้ให้เห็นถึงสภาวะของการรับมือกับคนที่น่ารำคาญที่ชอบอวดศักดาด้วยวิธีการต่างๆ..ที่ควรจะพึงคิดและนำไปปฏิบัติเพื่อความเข้าใจต่อๆไป..!
อย่างเช่น..คนที่ชอบพูดจาจิกกัดหรือคุกคามคนอื่น..โดยหวังให้อีกฝ่ายมองเห็นว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง..เป็นผู้ที่ไม่สมควรยกย่อง..เช่นเดียวกับเหล่าลูกค้าจอมกดดัน..ชอบถามคำถามแปลกพิสดาร คนพวกนี้สมควรต้อง"ตอบคำถามด้วยคำถาม"เสมอ..หรือ..เพื่อนร่วมงานที่ตามรบกวนไม่เลิก..ก็ให้ปฏิเสธไป แบบ"ไม่มีนัยของการปฏิเสธ"
และ..เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกเหนื่อย..ก็ให้เลิกโกหกตัวเอง..รู้จักปล่อยวาง..และตระหนักถึงความสำคัญของ"การปล่อยผ่าน.."
ข้อคิดเหล่านี้..จะทำให้เราบรรลุถึง เทคนิคแห่งความรอดพันหรือยึดพยุงรากฐานของชีวิตได้..!
*เทคนิคปล่อยผ่าน..คือเทคนิคที่จะอธิบายโดยสรุปต่อชีวิตของเราในหลายประการที่สำคัญ..มันคือสิ่งที่น่าจดจำและเน้นย้ำต่อการปฏิบัติ..ที่สร้างค่าแก่ชีวิต..!
...*เมื่อคนเรามีเทคนิคปล่อยผ่านติดตัว เราจะสามารถเฝ้ามองคนอื่นเฉยๆ..โดยไม่เข้าไปยุ่มย่ามกับเขาได้..ครั้นพอลองสังเกตให้ดีๆ จะเห๋นได้ว่า แต่ละคนล้วนมีความสามารถที่จะพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้..และพวกเขาหลายคน..ก็มีความสามราถมากกว่าเราเสียอีก..
*เวลามีเรื่องอะไร..หากว่าเราแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยทุกครั้งไปแล้ว ..ก็จะมีความรู้สึกไวมากขึ้น จนทำให้เจ็บปวดใจได้ง่ายๆ..จนไม่อาจปล่อยผ่านสิ่งต่างไปได้..และจะมีความรู้สึกไวมากยิ่งขึ้น..!
*การถามตัวเองว่า.."เรื่องนี้มีคุุณค่าพอให้ได้ใส่ใจหรือเปล่า?"จะช่วยให้เราขีดเส้นแบ่งได้อย่างชัดเจน..ส่งผลให้เรามีความรู้สึกช้าลง..และคิดมาก..
เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็จะรู้สึกว่า.."ตัวเองมีคุณค่ามากขึ้นเรื่อยๆ"
*..ครั้นเมื่อเราปล่อยผ่านความโกรธของอีกฝ่ายได้..เราก็จะไม่ถูกทำร้ายจิตใจ จนสถานะด้อยลง..
กล่าวได้ว่า..ความโกรธของคนที่มีสถานะเหนือกว่า..จะไม่ส่งผลกระทบต่อตัวเรา..แถมตัวเราเอง ยังสามารถพลิกกลับเป็นคนที่มีสถานะ เหนือกว่าใครได้อีกด้วย..!
*ถึงจะทำงานได้ดี..แต่ถ้าเป็นคนรู้สึกไวก็จะเครียด.. อยู่ตลอดเวลา..และมักมีเรื่องกระทบกระทั่งต่อคนอื่น ...ผลที่ตามมาก็คือ.. “ไม่มีใครยอมรับผลงาน และไม่สามารถก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้.."
*..เรารู้สึกโล่งสบายขึ้น หากสามารถขีดเส้นแบ่ง ระหว่างเรื่องที่ควรใส่ใจ กับเรื่องที่สมควรจะปล่อยผ่านได้โดยการตั้งคำถามว่า.. “การใส่ใจเรื่องอันเป็นปรปักษ์กับเราหรือเปล่า..?"
..แต่คนที่ไม่รู้จักปล่อยผ่านจะกังวลว่า.. “คนอื่นจะทำให้ฉันเสียงประโยชน์ และ มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับไป..!"
*แม้คนความรู้สึกไวจะทำงานได้ดี..แต่กลับไปมีใครยอมรับ..คนที่รู้จัก “ปล่อยผ่านเรื่องแย่ๆ” จะมีท่าทีสุขุมเยือกเย็น..และต่อให้ไม่ได้ทำงานอะไร..เขาก็ต้องเป็นที่ยอมรับอยู่ดี...
*แต่ในทางกลับกัน..คนที่ไวต่อความรู้สึก จะขาดความสุข เยือกเย็น..กระทั่งหวาดกลัวต่อเรื่องเล็กไปน้อยๆ..และบางทีก็กลัวไปก่อนว่า..จะเกิดเรื่องแย่ๆอีกไหม?
สุดท้าย..คนที่รู้จักชีวิตบ้างต่างหาก..ที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน..เพราะเขาจะสามารถ เพราะเขาจะเเสดงศักยภาพของตัวเองได้เต็มที่..แถมยังไม่ถูกรบกวนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง...ที่คนอื่นยัดเยียดมาให้..!
เหล่านี้..คือโครงสร้างโดยรวมของสาระเนื้อหาที่เต็มไปด้วยเหลี่ยมมุมแห่งการสอนสั่งชีวิตด้วยการเรียนรู้และรู้สึก เพื่อรับรู้ในเงื่อนไขอันสลับซับซ้อนของชีวิต..
..แต่ขอเพียงแต่ละคนคิดถึงการปล่อยผ่านพันธนาการแห่งชีวิต..ทั้งด้วยกลไกที่ปิดเปลือยในทางปฏิบัติภายนอก..ผสานเข้ากับกลไกอัน..ดำดิ่งนัยสำนึกอยู่ด้านใน..ชีวิตที่แท้ก็จะ..ไม่รับเอาเรื่องน่ารำคาญเข้ามาสู่ชีวิต..ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่า.. “การปล่อยผ่าน"..ได้ยึดโยงความเป็นชีวิตต่อชีวิตเข้าด้วยกันแล้ว..อย่างเข้าใจและแยบยล..!
"..การเรียนรู้ที่จะไปล่อยผ่าน หรือมองข้ามในสิ่งที่ไม่ดี..หรือคำพูดที่ทำร้ายจิตใจ สามารถช่วยลดผลกระทบทางลบ..ต่อตัวเราได้.."