3 จังหวัด 3 ภูมิภาค แย่งสิทธิเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 51 ที่จะมีขึ้นในเดือน ก.ย. นี้

หลังจากที่ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เปิดให้จังหวัดที่สนใจ และมีความพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 51 โดยให้ยื่นส่งเอกสารจนถึงวันที่ 23 พ.ค. 68

ล่าสุดหลังปิดกล่องรับสมัครเรียบร้อยแล้วนั้น รายงานข่าวจากสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ระบุว่า สรุปแล้วมี 3 จังหวัด จาก 3 ภูมิภาคประเทศไทย ที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน นั่นคือ ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ ที่สนามสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี ซึ่งเป็นเจ้าภาพมา 2 ครั้ง ในครั้งที่ 48-49, ภาคใต้ จ.สงขลา ที่สนามติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นเจ้าภาพเมื่อปีที่แล้ว ครั้งที่ 50 และภาคตะวันตก จ.กาญจนบุรี ที่สนามกลีบบัว หวังคว้าสิทธิเป็นครั้งแรกของจังหวัด และของภูมิภาคนี้

ขั้นตอนต่อไปในการคัดเลือกเจ้าภาพนั้น สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จะส่งแบบสอบถามข้อมูล เรื่องความพร้อมด้านต่างๆ ของแต่ละจังหวัดให้กรอกส่งกลับมา จากนั้นจะเป็นกระบวนการที่ สมาคมฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจความพร้อมแต่ละจังหวัด ก่อนที่จะมาตัดสินว่าจังหวัดใดเหมาะสมที่สุด คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน จะได้จังหวัดเจ้าภาพ

แหล่งข่าวระบุด้วยว่า สำหรับกระบวนการคัดเลือกนั้น จะดูจากความพร้อมของแต่ละจังหวัด กรณีที่จังหวัดเคยจัดไปแล้วนั้น ก็อาจได้จัดซ้ำได้ ไม่เป็นปัจจัยในการตัดสินใจ เหมือนเช่นที่ เชียงใหม่ จัดมาแล้ว 2 ครั้งติด ส่วนเรื่องงบประมาณการจัดการแข่งขันของแต่ละจังหวัดนั้น ถ้าอ้างอิงจาก จ.สงขลา ล่าสุด ใช้งบประมาณไปทั้งสิ้นเกือบๆ 20 ล้านบาท

ขณะที่ทีมที่จะมาเข้าร่วมแข่งขันนั้น ตอนนี้ได้ประสานไว้แล้ว ทั้งในทวีปเอเชีย และนอกทวีปเอเชีย ต้องรอหนังสือตอบรับเข้าร่วมอย่างเป็นทางการจากประเทศที่เชิญไป

สำหรับเกณฑ์ความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพคิงส์คัพ ได้แก่ สนามแข่งขัน ห้องปฏิบัติการ และสิ่งอำนวยความสะดวก เป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำของไทยลีก (เอเอฟซี) เนื่องจากเป็นทัวร์นาเมนต์ 4 ทีม จะต้องมีสนามซ้อมอย่างน้อย 2 สนาม และห้องแต่งตัวของสนามแข่งขันอีก 4 ห้อง, ไฟส่องสว่างสนามแข่งขัน-สนามซ้อมที่ได้มาตรฐาน, โรงแรมในระดับ 4-5 ดาว และเพียงพอต่อการรองรับ บุคลากรในส่วนต่างๆ, อาหารนานาชาติ, การเดินทางจากสนามบินนานาชาติ และสนามบินในประเทศ ที่ไม่ได้อยู่ห่างเกินไป, บุคลากรจัดการแข่งขัน.