เรือ’เสว่ยหลง2’ ประตูสู่ภารกิจสำรวจขั้วโลกนักวิจัยไทย
GH News May 26, 2025 01:06 PM

การเดินทางไปสำรวจขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ถือเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ท้าทายที่สุดในวงการวิทยาศาสตร์ ด้วยสภาพความเป็นดินแดนขั้วโลกที่ห่างไกล และต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง นักวิจัยไทยแม้จะมีศักยภาพ แต่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดมากมายในด้านทรัพยากรและอุปกรณ์ อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำของโลกด้านนวัตกรรมและวิทยาศาสตร์ ได้เปิดประตูบานใหม่ให้กับนักวิจัยไทย ได้สัมผัสประสบการณ์และต่อยอดงานวิจัยในด้านต่างๆ

ในโลกของการพัฒนาด้านนวัตกรรมและวิทยาศาสตร์ขของจีนได้แสดงให้โลกเห็นถึงความสามารถที่ยิ่งใหญ่ ด้วยการสร้างเรือตัดน้ำแข็ง “เสว่ยหลง” และ “เสว่ยหลง 2” เรือเหล่านี้ไม่เพียงเป็นเครื่องมือสำรวจอันทรงพลัง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ที่ยืนอยู่แถวหน้าของโลก

ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2536 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเสด็จเยือน ทวีปแอนตาร์กติกา นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ย่างพระบาทบนผืนน้ำแข็งขั้วโลกใต้ ทรงทอดพระเนตรการศึกษาวิจัย ของคณะนักวิทยาศาสตร์ ทั้งด้านชีววิทยา รรณีวิทยา อุตุนิยมวิทยา และสภาวะแวดล้อม

 และทรงมีพระราชดำริว่า “หากสามารถสนับสนุนให้นักวิจัยไทยได้เดินทางไปทํางานที่ขั้วโลกใต้อย่างสม่ำเสมอก็จะยังประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ” จึงเป็นจุดเริ่มต้นโครงการวิจัยขั้วโลกตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ ของความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ขั้วโลกระหว่างไทยกับจีน โดยในปี พ.ศ. 2556  พระองค์ทรงสนับสนุนให้ประเทศไทยลงนามบันทึกความร่วมมือกับจีน และส่งนักวิจัยไทยเข้าร่วมภารกิจอย่างต่อเนื่อง นักวิจัยไทยจึงมีโอกาสยืนเคียงข้างนักวิจัยนานาชาติในภารกิจสำรวจน้ำแข็งขั้วโลก ร่วมวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และนำองค์ความรู้กลับมาพัฒนาประเทศ

นับเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ในการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเรือตัดน้ำแข็ง “เสว่ยหลง 2” ระหว่างวันที่ 19 – 23 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ ท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อเฉลิมฉลองการเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ผู้ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์แห่งวิทยาศาสตร์และการศึกษาวิจัย โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ขั้วโลก และความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทยกับจีน ที่ดำเนินมายาวนานถึง 50 ปี

ศ.ดร. วรณพ วิยกาญจน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า ความร่วมมือด้านการสำรวจขั้วโลกกับจีน มีนักวิจัยไทยเข้าร่วมแล้วทั้งสิ้น 17 คน โดยในจำนวนนี้มีเพียง 5 คนที่ได้ร่วมเดินทางไปกับเรือสำรวจ ส่วนที่เหลือจะได้ร่วมเดินทางโดยการบิน ซึ่งในช่วงเริ่มต้นที่มีการใช้เรือเสวี่ยหลงลำแรก มีนักวิจัยไทยร่วมเดินทาง 2 คน ต่อมาเมื่อจีนพัฒนาเรือเสวี่ยหลง 2 ได้มีนักวิจัยไทยอีก 2 คนร่วมเดินทางไปยังขั้วโลกเหนือ (บริเวณละติจูด 90 องศาเหนือ) เมื่อเดือนสิงหาคม 2566

ศ.ดร. วรณพ วิยกาญจน์

ศ.ดร. วรณพ กล่าวต่อว่า สำหรับปีนี้ เรือเสวี่ยหลง 2 ได้ปฏิบัติภารกิจสำรวจขั้วโลกใต้ โดยมีนักวิจัยไทยเข้าร่วมเป็นครั้งแรก คือ ดร.อุดมศักดิ์ ดรุมาศ นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาฯ ซึ่งภารกิจดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่ขั้วโลกใต้กำลังก้าวเข้าสู่ฤดูร้อน เรือออกเดินทางจากนครเซี่ยงไฮ้ มุ่งหน้าลงใต้เพื่อไปรับคณะนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ชุดแรกที่ประเทศออสเตรเลียหรือนิวซีแลนด์ ก่อนเดินทางเข้าสู่น่านน้ำทวีปแอนตาร์กติก (Southern Ocean) เพื่อเริ่มปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่ขั้วโลกใต้ เรือเสวี่ยหลง 2 จะเดินทางต่อไปยังขั้วโลกเหนือเพื่อปฏิบัติการอาร์กติกในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม และคาดว่าจะสิ้นสุดภารกิจในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2568

ศ.ดร. วรณพ เล่าถึงการเดินทางไปยังขั้วโลกใต้ของนักวิจัยไทยในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสำรวจผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากขั้วโลกใต้เป็นทวีปที่แยกตัวออกจากส่วนอื่นของโลก ไม่มีประชากรอาศัยอย่างถาวร จึงเป็นพื้นที่สำคัญในการศึกษาสภาพแวดล้อมระดับโลก ทั้งในมิติของชีวภาพ กายภาพ บรรยากาศ และอวกาศ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยไทยส่วนใหญ่ยังมีโอกาสเข้าร่วมเพียงครั้งเดียว เนื่องจากข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานและงบประมาณ ทำให้เมื่อมีโอกาสเดินทาง นักวิจัยแต่ละคนจะพยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์และข้อมูลเพื่อกลับมาต่อยอด แม้งานวิจัยในปัจจุบันอาจยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม

“สำหรับการคัดเลือกนักวิจัยไทยในแต่ละปี จะพิจารณาจากความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง สาขาวิชา และหน่วยงานต้นสังกัด โดยจะเน้นสถาบันหรือมหาวิทยาลัยที่มีศักยภาพด้านการวิจัยทางทะเล หรือมีประสบการณ์ทำงานในสภาพแวดล้อมแบบขั้วโลก ซึ่งต้องอาศัยการปรับตัวทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เนื่องจากต้องใช้ชีวิตเป็นเวลาหลายเดือนบนเรือหรือในสถานีวิจัยที่อยู่ห่างไกลและมีข้อจำกัดทั้งด้านอุปกรณ์และการเดินทาง” ศ.ดร. วรณพ กล่าว

ห้องปฏิบัติการวิจัย

ศ.ดร. วรณพ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันจีนมีสถานีวิจัยในขั้วโลกทั้งหมด 5 แห่ง ซึ่งถือว่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่ต่างก็ให้ความสำคัญกับการวิจัยในภูมิภาคนี้ สำหรับสถานีวิจัยแห่งที่ 5 ของจีนตั้งอยู่ในทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งเป็นจุดใต้สุดของโลก และคาดว่าในอนาคต จีนมีแผนจะก่อสร้างสถานีวิจัยแห่งที่ 6 รวมถึงอาจพัฒนาเรือเสว่ยหลงรุ่นใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ขั้วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเป็นโอกาสที่ดีที่ไทยอาจจะได้มีส่วนร่วมในภารกิจอีกด้วย  

อานุภาพ พานิชผล นักวิจัยไทยที่ไปกับเรือเสว่ยหลง 2

ด้านอานุภาพ พานิชผล นักวิจัยชำนาญการ สถาบันวิจัยทรัพยาการทางน้ำ หนึ่งในนักวิจันไทยที่ได้ร่วมออกเดินทางไปกับเรือเสว่ยหลง 2 เพื่อสำรวจขั้วโลกเหนือ ในปี 2566 ได้เล่าถึงประสบการณ์ว่า ได้เดินทางไปกับเรือเสว่ยหลง 2 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 80 วัน ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม – 30 กันยายน  2566 ซึ่งทำให้เห็นถึงความก้าวหน้าของจีนในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ เพราะเสว่ยหลง 2 เป็นเรือตัดน้ำแข็งที่มีความสามารถในการตัดน้ำแข็งที่มีความหนาได้ถึง 1.5 เมตร ซึ่งถือว่าเหนือกว่าเรือเสว่ยหลงลำแรกที่ทำได้ประมาณ 1 เมตรเท่านั้น

ห้องนอนในเรือ

อานุภาพ กล่าวต่อว่า จุดเด่นอีกอย่างคือ เรือลำนี้ออกแบบและสร้างโดยวิศวกรจีนทั้งหมด พร้อมติดตั้งระบบควบคุมที่ทันสมัยด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และสามารถเคลื่อนที่ได้ทั้งเดินหน้าและถอยหลัง นอกจากนี้ บนเรือยังมีเครื่องมือสำหรับงานวิจัยครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจสมุทรศาสตร์ การเก็บข้อมูลพื้นท้องทะเล รวมถึงอุปกรณ์สแกนแบบมัลติบีมที่ช่วยตรวจวัดลักษณะพื้นท้องทะเลอย่างละเอียด

“สำหรับการไปขั้วโลกเหนือในปี 2566 พบว่าเป็นพื้นที่ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติหลงเหลืออยู่มาก โดยได้มุ่งเป้าทำการศึกษาปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ไมโครพลาสติก เพราะไมโครพลาสติกสามารถหมุนเวียนไปทั่วโลกได้ ทั้งทางน้ำและทางอากาศ ดังนั้นการรู้ว่าในพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้ มีการปนเปื้อนเกิดขึ้นหรือไม่ และอยู่ในระดับใด จะช่วยให้เข้าใจผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ต่อระบบนิเวศระดับโลกได้ดียิ่งขึ้น โดยผลการวิเคราะห์เบื้องต้นพบว่า ยังมีไมโครพลาสติกอยู่ แม้จะในปริมาณที่ต่ำกว่าเกณฑ์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นการเก็บตัวอย่างครั้งแรก จึงยังต้องรอผลวิจัยเพิ่มเติมจากการเก็บตัวอย่างในอนาคต ซึ่งอาจมาจากทีมวิจัยรุ่นใหม่ที่มีโอกาสได้ร่วมภารกิจกับจีน” อานุภาพ กล่าว

สำหรับเรือเสว่ยหลง 2 เป็นเรือวิจัยขั้วโลกลำที่ 4 ของจีน มีสมรรถนะสูง และเป็นลำแรกของโลกที่สามารถตัดน้ำแข็งได้ทั้งขณะเดินหน้าและถอยหลัง โดยสามารถตัดน้ำแข็งหนา 1.5 เมตรด้วยความเร็ว 2–3 นอต และในบางกรณีสามารถถอยหลังผ่านน้ำแข็งหนาเกิน 10 เมตรได้ ตัวเรือมีความยาว 122.5 เมตร กว้าง 22.3 เมตร กินน้ำลึก 12 เมตร และระวางขับน้ำ 13,990 ตัน

ห้องศึกษาค้นคว้าวิจัย

เรือแบ่งพื้นที่ออกเป็น 10 ชั้น ประกอบด้วยห้องพัก ห้องสันทนาการ ห้องประชุม ห้องออกกำลังกาย โรงพยาบาล ห้องอ่านหนังสือ ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ และห้องปฏิบัติการหลายประเภท เช่น แล็บแห้ง แล็บเปียก ห้องเก็บตัวอย่างอุณหภูมิต่ำ พร้อมด้วยอุปกรณ์วิจัยสมบูรณ์สำหรับงานด้านธรณี สมุทรศาสตร์ และบรรยากาศ บริเวณดาดฟ้าชั้นบนสุดเป็นสะพานเดินเรือ พร้อมระบบเก็บข้อมูลสภาพอากาศอัตโนมัติ

เรือสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 90 คน แบ่งเป็นลูกเรือ 40 คน และนักวิจัยหรือเจ้าหน้าที่ 50 คน ภารกิจหลักคือสนับสนุนงานวิจัยของสถาบันวิจัยขั้วโลกแห่งจีน และการลำเลียงสิ่งของจำเป็นให้สถานีวิจัยในขั้วโลก ขณะเดียวกันยังทำหน้าที่เป็นสื่อกลางด้านวัฒนธรรมระหว่างประเทศเมื่อแวะเทียบท่าตามเส้นทางเดินเรืออีกด้วย


© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.