หนึ่งในประเพณีอันยิ่งใหญ่ของชาวอีสานที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน คือ “บุญบั้งไฟ” พิธีกรรมที่จัดขึ้นก่อนฤดูทำนา เพื่อขอฝนจากฟากฟ้าให้ตกต้องตามฤดูกาล ส่งเสริมให้ข้าวกล้าในนาเติบโตอุดมสมบูรณ์ และชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนร่มเย็นเป็นสุข ด้วยความเชื่อว่าการจุดบั้งไฟคือการส่งสัญญาณบอกกล่าวพญาแถน ให้โปรยสายฝนลงมา
แม้ในหลายพื้นที่ของภาคอีสานจะนิยมใช้ “บั้งไฟหาง” แต่ที่บ้านกุดหว้า ตำบลกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่ส่วนใหญ่มีกลุ่มชาติพันธุ์เป็นชาวผู้ไทได้พัฒนาเป็น “บั้งไฟตะไลล้าน” ซึ่งมีลักษณะเป็นทรงกลมหมุนขึ้นฟ้า เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น และกลายเป็นสัญลักษณ์ของบ้านกุดหว้ามาจวบจนปัจจุบัน
ในการเดินทางเยือนถิ่นอีสานครั้งนี้ จึงได้มีโอกาสไปเที่ยวชมบรรยากาศอันเปี่ยมชีวิตชีวาของ “ประเพณีวัฒนธรรมผู้ไท บุญบั้งไฟตะไลล้าน ประจำปี 2568” ซึ่งจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 17–18 พฤษภาคมที่ผ่านมา ณ บ้านกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมให้การสนับสนุนและประชาสัมพันธ์ เพื่อร่วมกันสืบสานวิถีประเพณีอันทรงคุณค่าและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
งานบุญบั้งไฟตะไลล้านนี้ถือเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวที่หาชมได้เฉพาะที่บ้านกุดหว้าเท่านั้น โดยจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงวันเสาร์–อาทิตย์ที่สามของเดือนพฤษภาคม ด้วยความประทับใจในบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยพลังศรัทธา ความสนุกสนาน และเสน่ห์ของวิถีชุมชน จึงอยากขอนำเรื่องราวและสีสันของบ้านกุดหว้า มาถ่ายทอดประสบการณ์ชวนน่าไปเยือนสักครั้ง
ก่อนจะถึงวันจุดบั้งไฟตะไลล้าน เราเริ่มต้นบรรยากาศคึกคักด้วยขบวนแห่บั้งไฟตะไลจากแต่ละหมู่บ้าน ขบวนยาวเหยียดสุดสายตา แต่ละขบวนขนความงดงามและสีสันมาครบ ทั้งนางรำที่ฟ้อนอย่างอ่อนช้อยอยู่ด้านหน้า เคล้าคลอไปกับเสียงเพลงจังหวะม้วนๆ ที่ทำให้บรรยากาศคึกคักยิ่งขึ้น รถขบวนแต่ละคันตกแต่งด้วยของดีจากชาวบ้านกุดหว้า ทั้งผ้าขาวม้า ผ้าทอพื้นบ้านแบบผู้ไท ผลไม้ท้องถิ่น และที่ขาดไม่ได้คือบั้งไฟตะไลล้านขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนรถ
สองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา บางคนปูเสื่อนั่งชมอย่างสบายใจ บางคนรอถ่ายภาพและวิดีโอเก็บไว้ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ผู้คนที่ร่วมโยกย้ายส่วยเอวมีให้เห็นตลอดเส้นทาง ยังอิ่มหนำกับร้านรถเข็นที่ตั้งขายอาหารและของว่างตลอดแนว เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสนุก อิ่มใจ
ความสนุกสนานของขบวนแห่ยังคงดำเนินต่อไป ส่วนเราได้ปลีกตัวออกมาเพื่อพูดคุยกับคุณตาหนัน มะโนขันธ์ ปราชญ์ชาวบ้านแห่งบ้านกุดหว้า ผู้มีแนวคิดริเริ่มติดร่มให้กับบั้งไฟตะไลล้าน เพื่อช่วยชะลอความเร็วขณะตกสู่พื้น ลดความเสี่ยงและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น นับเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใส่ใจในปลอดภัยแต่ยังคงไว้เอกลักษณ์อย่างงดงาม
คุณตาหนันเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าระรื่นน้ำเสียงที่อบอุ่นว่า บั้งไฟตะไลนั้นถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2519 โดยฝีมือของช่างบั้งไฟผู้มากฝีมือชื่อ พิศดา จำพล เดิมทีนั้น ชาวบ้านนิยมทำบั้งไฟหางกัน แต่แล้วก็เริ่มมีปัญหาตามมา เพราะเวลาเจ้าบั้งไฟหางพุ่งขึ้นฟ้าแล้วตกลงมา มักจะเป็นอันตรายต่อคนที่อยู่ข้างล่าง โดยเฉพาะชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมชมงานความใส่ใจในความปลอดภัย และความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่ธรรมดา ช่างพิศดาจึงทดลองและพัฒนารูปแบบใหม่ จนกลายมาเป็น “บั้งไฟตะไล”
โดยเริ่มจากบั้งไฟตะไลหมื่น ที่มีความยาวเพียง 120 เซนติเมตร จุดขึ้นฟ้าให้ชาวบ้านได้ตื่นตาตื่นใจ จากนั้นไม่กี่ปีต่อมา ในปี 2522 ก็มีการจุดบั้งไฟตะไลแสน ที่มีขนาดยาวถึง 3 เมตร และในปี 2528 ก็ได้เกิดบั้งไฟตะไลล้านเป็นครั้งแรก จากบั้งไฟเล็ก ๆ กลายเป็นบั้งไฟตะไลยักษ์ขนาด 10 ล้าน ซึ่งลักษณะของบั้งไฟตะไล มีลักษณะเป็นวงคล้ายล้อเกวียน ประกอบด้วยกระบอก หรือแป๊บเหล็กข้างในอัดแน่น ด้วยดินปืน มีหลายขนาด ได้แก่ ตะไลจิ๋ว ตะไลหมื่น ตะไลแสน ตะไลล้าน ตะไลสองล้าน ตะไลสิบล้าน และตะไลยี่สิบล้าน โดยตะไลแต่ละแบบแตกต่างกันที่ขนาดความยาวของกระบอก และเส้นผ่านศูนย์กลางของวงล้อ
เมื่อถึงงานบุญบั้งไฟตะไลล้าน ชาวบ้านแต่ละหมู่จะร่วมแรงร่วมใจใช้เวลาร่วม 45 วันในการสร้างขึ้นมาหนึ่งบั้งอย่างสามัคคี ไม่ใช่แค่เพื่อแข่งขันกันในงานบุญเท่านั้น แต่ยังเป็นการสืบสานภูมิปัญญาที่ช่างพิศดาทิ้งไว้ให้ แม้วันนี้เขาจะไม่ได้อยู่เห็นความยิ่งใหญ่ของมันแล้ว แต่สิ่งที่เขาสร้างไว้ยังคงโลดแล่นอยู่บนฟ้า ด้วยความภาคภูมิใจของชาวกุดหว้า ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก
หลังจากพูดคุยพอประมาณ คุณตาหนันก็พาเราไปชมบ้านที่ทำบั้งไฟตะไล มาถึงลานหน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่นี่คือจุดรวมพลของชาวบ้านผู้กำลังง่วนอยู่กับการผูกร่ม ขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่บั้งไฟตะไลจะพร้อมขึ้นสู่ฟ้า เหนื่อยๆก็นั่งพักสังสรรค์เปิดเพลงฟังให้ผ่อนคลาย ก่อนจะถึงวันประชันบั้งไฟตะไลอย่างยิ่งใหญ่ในวันงาน
เช้าวันถัดมา เรามุ่งหน้าไปยังลานจุดบั้งไฟตะไลล้านที่บ้านกุดหว้า บรรยากาศคึกคักตั้งแต่หัววัน แม้แดดจะแรงตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า แต่ก็ไม่อาจหยุดขบวนนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศได้ เพื่อชมโชว์ยิ่งใหญ่แห่งปี ที่ในปีนี้มีบั้งไฟเข้าร่วมแข่งขันมากถึง 78 บั้ง แบ่งเป็นบั้งไฟแสน 75 บั้ง ไฮไลต์คือบั้งไฟสองล้าน 2 บั้ง และที่ทุกคนเฝ้ารอคือบั้งไฟสิบล้าน 1 บั้ง ที่จะขึ้นสู่ฟ้า
บริเวณลานจุดบั้งไฟถูกจัดเป็นแย่งเป็นโซน ทั้งโซนของทีมงาน โซนปลอดภัยสำหรับชม และแน่นอน โซนอันตรายสำหรับจุดบั้งไฟซึ่งผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าโดยเด็ดขาด ผืนนากว้างใหญ่ทักคนปักหลักหาทำเลนั้ง ร่ม 1 คัน เสื่อ 1 ผืนกลายเป็นพร็อพจำเป็นของงานนี้ ทุกคนต่างรู้หน้าที่ของตนเองดี โดยเฉพาะชาวบ้านที่เฝ้ารอชมกันมาทั้งปี หลายคนเลือกนั่งในจุดที่ใกล้พอจะมองเห็นชัด ๆ แม้จะรู้ว่าอาจไม่ปลอดภัยนัก แต่ก็พร้อมระวังตัวอย่างดี
อาจจะมีนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ที่อาจยังไม่รู้เท่าทัน ก็จะมีเสียงเจ้าหน้าที่เตือนเป็นระยะ เสียงพิธีกรประกาศเรียกเสียงฮือฮาเป็นระยะ และมีบางบั้งไฟตะไลที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้า หากร่มไม่กางออก และเริ่มลอยกลับลงมา เจ้าหน้าที่จะรีบบอกให้ และทุกคนจะต้องสังเกตทิศทางและหลบให้ดี ห้ามวิ่งเด็ดขาด นี่เป็นกติกาที่ทุกคนรับทราบ
ในที่สุด ช่วงบ่ายที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงไฮไลต์ของงาน บรรยากาศคึกคัก เสียงโห่ร้องดังเป็นระยะ ๆ พร้อมกับขบวนแห่บั้งไฟตะไลสิบล้านที่กำลังเคลื่อนตัวมา ลำบั้งไฟขนาดมหึมาที่มีปากกระบอกกว้างถึง 8.5 นิ้ว ยาว 6 เมตร ถูกยกขึ้นด้วยเครนอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางเสียงเชียร์ อย่างสนุกสนาน เมื่อบั้งไฟถึงพื้นที่จุด ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง ทุกคนถอยออกจากจุดนั้น เหลือเพียงผู้ที่มีหน้าที่จุดถือคบเพลิงไว้มั่น มืออีกข้างจับจังหวะรอเวลาที่เหมาะสม
เปลวไฟถูกจุด เสียงกึกก้องจากปลายกระบอกบั้งไฟดังขึ้นทันที ควันสีขาวพวยพุ่งออกมาคลุ้งไปทั่ว ก่อนที่ตัวบั้งไฟตะไลจะเริ่มหมุนด้วยความเร็ว ทะยานพุ่งออกจากกลุ่มควันสู่ท้องฟ้าอย่างสง่างาม ผู้ชมทั้งลานส่งเสียงเฮลั่น พร้อมเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง ไม่ต่างจากตอนที่บั้งไฟตะไลสองล้านถูกจุดขึ้นก่อนหน้านี้ แม้ร่มไม่กาง แต่แค่ได้เห็นบั้งไฟพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า ทุกคนก็ตื่นเต้นและประทับอย่างมาก
ความยิ่งใหญ่ของประเพณีวัฒนธรรมผู้ไท บุญบั้งไฟตะไลล้าน ที่ได้สัมผัสด้วยตา เป็นมากกว่าการแข่งขัน แต่นี่คือภาพสะท้อนของภูมิปัญญา วิถีชีวิต และอัตลักษณ์ของชาวผู้ไทและชาวอีสาน ที่สืบทอดกันมายาวนาน หากใครใคร่มาเปิดประสบการณ์ชมบั้งไฟตะไล ปีหน้าปักหมุดเตรียมตัวให้พร้อมมาที่บ้านกุดหว้าได้เลย