เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีอย่าง "ทักษิณ ชินวัตร" ปรากฏตัวต่อหน้าสื่อและตอบคำถามหลากประเด็น ตั้งแต่คดีความส่วนตัว ความสัมพันธ์ในรัฐบาล ไปจนถึงการโจมตีองค์กรอิสระ คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่แค่การชี้แจงข่าวลือ แต่สะท้อนว่าอิทธิพลทางการเมืองของเขายังไม่จางหาย และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของแรงสั่นสะเทือนการเมืองรอบใหม่
ทักษิณยันไม่ออกนอกประเทศ แต่ยังไม่ชัดจะไปศาลหรือไม่
หนึ่งในประเด็นร้อนที่ถูกจับตามองคือคำกล่าวของนายทักษิณว่า จะไม่เดินทางออกนอกประเทศก่อนวันที่ 13 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันนัดไต่สวนของศาลฎีกาเกี่ยวกับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ แต่กลับยังไม่ยืนยันว่าจะเข้าร่วมไต่สวนหรือไม่ โดยขอเวลาตัดสินใจถึงเที่ยงคืนของวันที่ 12 มิถุนายน
ท่าทีดังกล่าว แม้ไม่ผิดกฎหมายโดยตรง แต่กลับเปิดช่องให้สังคมตั้งคำถามว่า ทักษิณได้รับสิทธิพิเศษเหนือกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ เพราะนักโทษทั่วไปไม่มีสิทธิเลือกจะไปศาลหรือไม่ไปได้เอง
แรงกระเพื่อมทางการเมืองจากคำพูด
คำพูดของนายทักษิณจุดชนวนความสงสัยว่า การเมืองไทยยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเขา โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายค้านเริ่มโจมตีว่า “เพื่อไทยยังอยู่ใต้ร่มเงาทักษิณ” และ “ระบบยุติธรรมสองมาตรฐาน”
ขณะเดียวกัน พรรคร่วมรัฐบาลก็ถูกกดดันให้แสดงจุดยืนที่ชัดเจน เพราะหากปล่อยให้เงาทักษิณมีบทบาทเกินขอบเขต ก็อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของทั้งรัฐบาล
วิจารณ์แพทยสภา: สัญญาณว่าอำนาจยังไม่หมด?
นายทักษิณยังแสดงความไม่พอใจต่อแพทยสภา ซึ่งตรวจสอบจริยธรรมของทีมแพทย์โรงพยาบาลตำรวจที่ดูแลเขาระหว่างต้องโทษ โดยกล่าวหาว่าภายในองค์กรมี “ปัญหาด้านจริยธรรม”
ท่าทีดังกล่าวสร้างข้อกังขาในสังคมว่า เป็นความพยายามกดดันองค์กรอิสระหรือไม่ และยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของประชาชนบางส่วนว่า ทักษิณยังสามารถควบคุมเกมการเมืองได้ แม้ไม่มีตำแหน่งใดในระบบ
การออกมาเคลื่อนไหวและวิจารณ์แพทยสภาอาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง เพราะกลุ่มผู้สนับสนุนที่เคยศรัทธาในเพื่อไทย เริ่มตั้งคำถามว่า พรรคกำลังทำเพื่อประชาชนหรือเพื่อ “ปกป้องคนในครอบครัว”
กรณีจำนำข้าว: ป้องน้องสาว หรือฟื้นคืนทางการเมือง?
นายทักษิณยังกล่าวถึงคดีจำนำข้าว โดยชี้ว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ใช่จำเลย และการเรียกค่าปรับควรไม่เกิน 10,000 ล้านบาทตามการประเมินความเสียหายจริง
แม้ดูเหมือนเป็นคำชี้แจงทางกฎหมาย แต่หลายฝ่ายเชื่อว่ามีเจตนาแฝง คือการฟื้นภาพลักษณ์ให้นางสาวยิ่งลักษณ์ และปูทางการกลับเข้าสู่การเมืองของครอบครัวชินวัตรอีกครั้ง
ฝ่ายค้านอาจใช้จุดนี้โจมตีว่า รัฐบาลนี้เป็น “กลไกฟอกขาว” ให้ตระกูลชินวัตร และเป็นการเมืองที่วนเวียนในคนกลุ่มเดิม
ยันไม่เปลี่ยนนายกฯ กลางเทอม: คำยืนยันที่มีเงื่อนไข
นายทักษิณย้ำว่า จะไม่มีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีกลางเทอม แต่ก็เปิดช่องไว้ว่า หากจำเป็นต้องยุบสภาให้ประชาชนตัดสินใหม่ ก็สามารถเกิดขึ้นได้
คำพูดนี้ถูกวิเคราะห์ว่า มีเป้าหมายสยบข่าวลือเรื่องรอยร้าวในพรรคร่วมรัฐบาล และส่งสัญญาณไปยังกลุ่มทุนว่ารัฐบาลยังมั่นคง แต่ในความเป็นจริง อาจเป็นการ “เปิดไพ่” เพื่อเตรียมต่อรองหากเกิดความขัดแย้งในอนาคต
เพื่อไทยกับภูมิใจไทย: ไร้ปัญหาจริงหรือ?
ถึงนายทักษิณจะระบุว่าไม่มีปัญหากับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แต่ในความเป็นจริง ทั้งสองพรรคมีนโยบายที่สวนทางกันหลายด้าน เช่น นโยบายกัญชาเสรี และการจัดสรรงบประมาณกระทรวงใหญ่
คำพูดว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีจึงอาจเป็นเพียงการประคองสถานการณ์ เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์รัฐบาลแตกร้าวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
เงาทักษิณยังปกคลุมเพื่อไทย?
การที่นายทักษิณยังออกมาเคลื่อนไหว พูดทุกประเด็นราวกับเป็นผู้นำรัฐบาล ทั้งที่ไม่มีตำแหน่งใดในระบบ ทำให้ประชาชนตั้งคำถามว่า นายกรัฐมนตรีตัวจริงคือใคร?
โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และสายประชาธิปไตยที่คาดหวังการเปลี่ยนแปลง อาจเริ่มรู้สึกว่า พรรคเพื่อไทยยังไม่หลุดพ้นจาก “เงานายใหญ่”
พรรคฝ่ายค้านโดยเฉพาะประชาชนอาจได้รับอานิสงส์จากคำสัมภาษณ์นี้ เพราะสามารถชูประเด็นเรื่องอำนาจเงา ระบบยุติธรรมสองมาตรฐาน และการเมืองแบบเดิม ๆ เพื่อดึงดูดฐานเสียงกลางและคนรุ่นใหม่ที่เคยเทใจให้เพื่อไทย
บทสรุป
คำสัมภาษณ์ของนายทักษิณในครั้งนี้ แม้จะสร้างความมั่นใจแก่ผู้สนับสนุนเดิมและพรรคร่วมรัฐบาลบางส่วน แต่ก็สร้างความเสียหายเชิงภาพลักษณ์อย่างมาก หากพรรคเพื่อไทยยังไม่สามารถแยกตนเองจากอิทธิพลของ “นายใหญ่” ได้อย่างชัดเจน
ความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดลง อาจกลายเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายค้านโจมตีซ้ำ และอาจกลายเป็นชนวนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหม่ในไม่ช้า
#ทักษิณ #เพื่อไทย #แพทองธาร #รัฐบาลผสม #ฝ่ายค้าน #การเมืองไทย #แพทยสภา #ศาลฎีกา #ยิ่งลักษณ์ #ก้าวไกล #วิเคราะห์การเมือง #อิทธิพสนลในเงา #ประชาธิปไตยไทย