วันที่ 28 พ.ค.2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วันแรก จากนั้นนายชัชวาล แพทยาไทย สส.ร้อยเอ็ด พรรคไทยสร้างไทย ได้อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระแรก โดยตั้งข้อสังเกตว่าการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลยังไม่สอดคล้องกับความเดือดร้อนของประชาชนฐานราก โดยเฉพาะเกษตรกรและกลุ่มคนตัวเล็กในระบบเศรษฐกิจ แม้งบประมาณปีนี้จะมีวงเงินสูงถึงกว่า 3.78 ล้านล้านบาท แต่ยังคงเป็นงบขาดดุล และให้น้ำหนักกับการกระตุ้นเศรษฐกิจจากส่วนบนของพีระมิด มากกว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากฐานล่างซึ่งยั่งยืนกว่า รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเสมือนอยู่ในภาวะปกติ ทั้งที่ประเทศยังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก เช่น ภาระหนี้ครัวเรือนสูง การส่งออกชะลอตัว และผลกระทบจากสงครามการค้าโลก รวมถึงมาตรการทางภาษีของทรัมป์ แต่การใช้งบยังคงสะท้อนแนวคิด “แบ่งกันกิน” มากกว่าการจัดลำดับความจำเป็นเร่งด่วนของปัญหา โดยเฉพาะงบกระทรวงหลักที่เน้นงบดำเนินงานและการลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง เช่นภาคเกษตร แม้กระทรวงเกษตรฯ จะได้รับงบกว่า 1.3 แสนล้านบาท แต่นายชัชวาลตั้งข้อสังเกตว่ายังไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาเรื้อรัง เช่น หนี้สินเกษตรกร ราคาผลผลิตตกต่ำ หรือน้ำท่วม ภัยแล้ง ซึ่งได้รับงบประมาณเพียง 3,000-4,000ล้านบาทเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นมาตรการชั่วคราวที่ไม่ยั่งยืน จึงไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของภาคเกษตรได้
นายชัชวาล กล่าวว่า สำหรับการจัดสรรงบกลางจำนวน 6.3 แสนล้านบาท ยังขาดรายละเอียดการใช้จ่ายอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ พร้อมตั้งคำถามว่าเหตุใดรัฐบาลไม่กระจายงบก้อนนี้ให้กับกระทรวงหรือหน่วยงานที่มีภารกิจชัดเจน ซึ่งจะทำให้สามารถติดตามผลได้ดีกว่า นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวในการดำเนินนโยบายที่รัฐบาลเคยให้สัญญาไว้ เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเงินอุดหนุนเด็กแบบถ้วนหน้า ที่ยังไม่สามารถผลักดันได้จริง แม้จะจัดงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์ ในการสร้างความเสมอภาคทางสังคมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไว้สูงก็ตาม การบริหารแบบรวมศูนย์ทำให้งบประมาณไม่ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของแต่ละพื้นที่ จึงเสนอให้กระจายอำนาจไปยังท้องถิ่น ขณะเดียวกันยังแนะนำว่างบพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาที่มีมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท ควรมุ่งยกระดับคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ห่างไกลให้เท่าเทียม ไม่ใช่ปล่อยให้บุคลากรโดยเฉพาะครูในพื้นที่ห่างไกลขาดแคลนมากถึง 50,000 อัตรา
“ผมกังวลว่าการโยกงบประมาณเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่นงบโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมูลค่า 1.57 แสนล้านที่ถูกปรับเปลี่ยนเป้าหมายการใช้เงิน ซึ่งดำเนินการอย่างเร่งรีบ โดยขาดแผนงานชัดเจน อาจเป็นช่องทางให้เกิด “โกงแบบ Fast Track” ดังนั้น จึงขอเสนอ 7 แนวทางที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ ได้แก่ หยุดคอร์รัปชันเชิงนโยบาย ฟื้นเศรษฐกิจจากฐานราก เพิ่มงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ฟื้นฟูภาคเกษตร กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ปฏิรูปการศึกษา และสร้างระบบสวัสดิการถ้วนหน้าอย่างแท้จริง”นายชัชวาล กล่าว