“วาสนา นาน่วม” ผ่าสงคราม “แดง-น้ำเงิน” “อิ๊งค์” หลังพิงกองทัพ-ไร้สัญญาณรัฐประหาร
GH News May 31, 2025 07:05 AM

หมายเหตุ : “วาสนา นาน่วม” ผู้สื่อข่าวอาวุโส และคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ให้สัมภาษณ์พิเศษ รายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองในเวลานี้จะเป็นปัจจัยทำให้เกิดรัฐประหารซ้ำอีกหรือไม่ ออกอากาศทางช่องยูทูบ Siamrathonline เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568

- ในสถานการณ์ทางการเมืองเวลานี้มีวิกฤตเรื่องความขัดแย้งต่างๆ  ทำให้มีคนบางส่วนกังวลว่าจะบานปลาย จากการที่ฝ่ายแดงกับน้ำเงินล้มล้างกัน จนทำให้สีเขียวจะต้องออกมาอีกแล้วหรือไม่

วันนี้ คือวันที่ 22 พ.ค.68 ครบรอบ 11 ปีเหตุการณ์รัฐประหาร คนไทยอาจจะลืมกันไปแล้ว สะท้อนได้ว่าคนไทยยังไม่ได้ตื่นตระหนกเรื่องรัฐประหารในยุคนี้  หากมีการตื่นตระหนกจะเกิดข่าวลือว่าทหารเคลื่อนย้ายกำลัง แต่วันนี้สภาพปัจจุบัน มีน้อยมากเพราะรัฐบาลนี้ถูกมองว่าเกิดจากดีล ระหว่างคุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย กับแกนนำฝ่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งอาจจะหมายรวมไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นผบ.ทบ.ในขณะนั้น และองคาพยพที่เราเรียกว่า ฝ่ายอนุรักษ์นิยมด้วย 

เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นรัฐบาลที่เกิดขึ้นจากดีล  ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดปฏิวัติรัฐประหาร จึงไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นง่ายๆ จุดนั้นคือสถานการณ์ในห้วงปีเศษ ๆที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยนายกฯเศรษฐา ทวีสิน จนมาถึง นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ณ เวลานี้

แต่เราต้องยอมรับว่าความเป็นไปได้ยังมี แม้ตอนนี้จะน้อยมาก แต่ไม่อยากบอกว่าเป็นศูนย์ ต้องบอกว่าเวลาที่เราพูดถึงเรื่องสถานการณ์นั้น เราไม่สามารถมองยาวไปถึงปีหน้าหรือปีไหน  แต่ถ้ามองในระยะสั้น ในห้วงปีนี้ ยังไม่มี แต่มีคนที่อยากให้เกิดขึ้นในปีนี้  เพราะจะเห็นว่ามีหลายกลุ่มที่ไม่เอาคุณทักษิณ ,นายกฯแพทองธาร และพรรคเพื่อไทย  และยังเคยเป็นกลุ่มคนที่เคยสนับสนุนการรัฐประหารในอดีต  ก็อาจจะเรียกร้องหารัฐประหาร  แต่ขณะเดียวกันเราก็เห็นได้ว่า การเรียกร้องหรือกวักมือเรียกร้องรัฐประหาร แต่ยังไม่มีสถานการณ์ที่จะนำไปสู่การรัฐประหารได้

ในอดีตที่ผ่านมา การเกิดรัฐประหารจะมีสถานการณ์ และสิ่งบอกเหตุก่อน เช่นอาจจะมีความวุ่นวายทางการเมือง มีการชุมนุม หรือใช้ความรุนแรง หรือวันนี้ สิ่งเหล่านี้ยังไม่ได้เกิด  แต่เมื่อวันนี้เกิดความขัดแย้งในรัฐบาล  ในพรรคร่วมรัฐบาล เกิดปัญหาสีแดงกับสีน้ำเงิน แล้วสีเขียวจะมาไหม ต้องบอกว่า ตอนนี้สีเขียวจะต้องดูแลปัญหาทางชายแดนรอบด้าน

นอกจากนี้สัญญาณการเกิดรัฐประหารทุกครั้งนั้น เมื่อเกิดปัญหาทางการเมืองแล้วทหารจะรัฐประหารได้ คนที่เป็นผบ.ทบ. หรือผบ.เหล่าทัพ ต้องตรวจสอบสัญญาณก่อน ต้องมีเงื่อนไขที่เหมาะสม และท้ายที่สุดคือต้องดูสัญญาณ แต่ตอนนี้ไม่มีใดๆทั้งสิ้น เพราะทหารในกองทัพรู้แล้วว่า ในยุคปัจจุบัน มีสิ่งบอกเหตุว่าไม่ต้องการให้เกิดรัฐประหารขึ้นมา

ส่วนกรณีที่สีแดงกับสีน้ำเงิน ตีกันอยู่แบบนี้จะนำไปสู่การเกิดรัฐประหารหรือไม่ ก็ต้องดูว่ามีการสร้างเงื่อนไขหรือไม่ จนนำไปสู่เรื่องการเกิดม็อบหรือไม่ ซึ่งการที่สีแดงกับสีน้ำเงินตีกัน ทำให้ปัจจัยยังไม่ครบ  แต่ต้องมีสถานการณ์ มีการใช้ความรุนแรง บ้านเมืองวุ่นวาย ทำให้เกิดรัฐล้มเหลว รัฐบาลบริหารงานไม่ได้ นายกฯเข้าทำเนียบฯไม่ได้ ลงนามต่างๆไม่ได้ สั่งงานไม่ได้ หรือนายกฯถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ตอนนี้ยังไม่มีปัจจัยต่างๆเหล่านี้

นอกจากนี้เราจะเห็นได้ว่า ผบ.เหล่าทัพในยุคปัจจุบัน อย่าง ผบ.ทบ. คือ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ท่านได้แสดงให้เห็นถึงการเป็นทหารอาชีพ ท่านไม่เคยให้สัมภาษณ์สื่อเรื่องการเมืองหรือเรื่องที่เฉียดกับการปฏิวัติรัฐประหารเลย ท่านจะระมัดระวังเรื่องการแสดงความคิดเห็นค่อนข้างมาก ฉะนั้นจะเป็นเหตุผลสนับสนุนว่าการรัฐประหารตอนนี้ยังไม่มีกลิ่น

- แต่ไม่ได้ลบออกจากพจนานุกรม

ถูกต้อง แต่ถามว่าจะมีรัฐประหารอีกหรือไม่ ต้องบอกว่าไม่มีใครกล้าการันตีได้ ว่าจะไม่มี ไม่เกิดขึ้น ในอนาคตระยะยาว 2-3ปีข้างหน้า หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ไม่มีใครกล้าพูดแน่นอน  เพราะโดยสภาพทางการเมืองของประเทศไทยนั้น โครงสร้างทางการเมืองนั้น ทหารยังมีบทบาทสำคัญเมื่อเกิดวิกฤติทางการเมือง

แม้โดยรัฐธรรมนูญเราจะเห็นว่า ทหารปฏิวัติไม่ได้ก็ตาม แต่เมื่อมีการปฏิวัติรัฐประหาร ก็จะฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะเห็นคือบทบาทและพลังอำนาจแฝงของกองทัพไทย ยังคงมีอยู่ เพราะจะพบว่าเมื่อการเมืองมีอะไรเกิดขึ้น จะมีความเชื่อมโยงกับทางกองทัพตลอด

ตัวอย่างเช่นในปัจจุบันนี้ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยมีคุณแพทองธาร เป็นนายกฯ ซึ่งต้องยอมรับว่านายกฯแพทองธาร ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับกองทัพมาก่อน อาจจะเรียกได้ว่าอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน เพราะทั้งคุณทักษิณ และคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  ก็เคยถูกรัฐประหารต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2549 จนถึง 2557 แต่ปัจจุบัน บริบทเปลี่ยนไป เพราะสืบเนื่องมาจากคำว่า “ดีล”

เมื่อขั้วของคุณทักษิณ กับขั้วของอนุรักษ์นิยม ซึ่งมีกองทัพอยู่ในซับเซ็ตนี้ด้วยได้จับมือกัน เพื่อเดินหน้าประเทศ และเพื่อสกัดกั้นสีส้ม ไม่ให้เข้ามามีอำนาจในการบริหารประเทศ หรือนำไปสู่การเปลี่ยแปลงตามที่พรรคสีส้มต้องการ

ดังนั้นทำให้เห็นว่าทางกองทัพเองก็ต้องทำหน้าที่เป็นแบ็คอัพให้กับรัฐบาลนี้อยู่ ทั้งคุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม หรือแม้แต่นายกฯแพทองธาร  ในห้วง 8-9 เดือนที่ผ่านมาเราจะเห็นว่า พยายามที่จะสร้างสัมพันธ์อันดีกับกองทัพ  กรณีที่คุณภูมิธรรม ก็พยายามรับประทานอาหารกับผบ.เหล่าทัพ นอกรอบเพื่อที่จะรู้จักกันมากขึ้น หรือแม้แต่การที่นายกฯลงพื้นที่ไปด้วย แล้วมีผบ.เหล่าทัพ ไปด้วยก็เป็นความพยายามที่แสดงให้เห็นแล้วว่ารัฐบาลเองก็ต้องการ การสนับสนุนจากกองทัพ

หรือแม้แต่การจัดสรรงบประมาณประจำปี 2569 ที่จะเข้าสภาฯ ในวาระแรก วันที่ 28-30 พ.ค.นี้ โดยงบของกระทรวงกลาโหม อยู่ที่ 2 แสน 4 พ้นล้านบาท โดยจะมีโครงการใหญ่ๆ คือการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพแต่ละเหล่าทัพ มีหลายโครงการ  เราจะเห็นสัญญาณว่ารัฐบาลนี้ไฟเขียว ไม่ได้ขัดขวาง เพราะส่วนหนึ่งรัฐบาลต้องการความสัมพันธ์อันดีกับกองทัพ 

ดังนั้นต้องรอดูว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำ  ของกองทัพเรือ คุณภูมิธรรม แสดงท่าทีมาแล้วว่าการซื้อเรือดำน้ำของจีน น่าจะได้ไปต่อ ด้วยการเปลี่ยนจากเครื่องยนต์เยอรมัน เป็นเครื่องยนต์จีน ต่อมาต้องตามดูเรื่องเรือฟริเกต ซึ่งเดิมมีข่าวว่า คุณภูมิธรรม คุยกับกองทัพเรือแล้วว่าจะให้ซื้อในงบประมาณปี 2569 แค่ 1ลำ แต่ล่าสุดพล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร.ให้สัมภาษณ์ ว่าเสนอ2ลำเลย จากแผนที่จะซื้อทั้งหมด 4 ลำ  ซึ่งนี่อาจเป็นการสะท้อนว่าผู้บัญชาการกองทัพเรือ เองอาจจะมองว่าในยามนี้ รัฐบาลที่ง่อนแง่นจากปัญหาภายในรัฐบาลผสม น่าจะอยากได้แบ็คอัพที่แข็งแกร่งอย่างกองทัพ

เพราะฉะนั้นเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์รัฐบาลไม่น่าจะแตะต้อง  ซึ่งเรื่องนี้ต้องรอดูกันต่อในชั้นอนุกรรมาธิการฯ หากพรรคเพื่อไทยไม่ให้ หรือให้ลำเดียวก็จะมีการส่งสัญญาณมา ว่าจะให้กี่ลำ หากให้จริง 2 ลำ แสดงว่า รัฐบาลนี้ค่อนให้ความสำคัญกับกองทัพมาก

นอกจากนี้ในส่วนของกองทัพอากาศ ซึ่งมีโครงการจะซื้อเครื่องบินกริพเพน ซึ่งเวลานี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมเอกสาร และที่ผ่านมาก็ยังไม่มีสัญญาณใดๆจากรัฐบาลว่าจะไม่ให้ซื้อ มีแต่สนับสนุนให้ซื้อกริพเพน โดยไม่สนใจว่าสหรัฐฯจะกดดันเราอย่างไร  โดยในราวปลายเดือนพ.ค.นี้จะนำเรื่องเข้าสู่ครม.เพื่อพิจารณา  จากนั้นในเดือนมิ.ย.กองทัพอากาศ จะมีการแถลงแผนต่างๆ

ขณะที่กองทัพบกก็มีแผนที่จะจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งหากเป็นการซื้อจากสหรัฐฯจะไฟเขียวได้ง่าย  เนื่องจากไปเชื่อมโยงกับเรื่องกำแพงภาษีของสหรัฐฯ  โดยกองทัพบกเตรียมจะซื้อเฮลิคอปเตอร์ แบล็กฮอกจากสหรัฐ ฯ และยังมีแผนที่จะซื้อรถเกราะสไตรเกอร์ ของสหรัฐฯ

ดังนั้นจึงอาจเรียกได้ว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ขัดกองทัพ ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี สะท้อนได้ว่า ขณะที่รัฐบาลกำลังง่อนแง่นจากปัญหา  แต่หากเรื่องใดที่ให้กองทัพช่วยสนับสนุนได้  และอย่าลืมว่านี่คือรัฐบาลที่มาจากการดีล ดังนั้นกองทัพจึงอยู่ในดีลด้วย กองทัพก็ต้องสนับสนุนรัฐบาลนี้ โดยที่ยังไม่เห็นว่าจะมีปัจจัยใด ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกองทัพกับรัฐบาล ระหว่างกองทัพกับคุณภูมิธรรม เพราะฉะนั้นเรียกได้ว่ากองทัพจึงเป็นกลไกที่ยังสนับสนุนรัฐบาลนี้ต่อ จึงไปสู่คำตอบที่ว่า  ณ เวลานี้ยังไม่มีกลิ่นหรือสัญญาณบ่งชี้ที่จะนำไปสู่การรัฐประหารได้

และจากการที่ตรวจสอบข่าวจากวงใน ยังยืนยันว่า แม้พรรคแดงกับสีน้ำเงินจะขัดแย้งกันอย่างไร ก็ต้องอยู่กันไปแบบนี้ จะตีกันอย่างไรก็ตาม  เราต้องยอมรับว่าความขัดแย้งที่มาจากเรื่องการฮั้วเลือกสว. นั้นมันรุนแรงมาก  ต่อให้คนที่พยายามประคับประคองรัฐบาลนี้ให้สองพรรค อยู่ด้วยกันได้ แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย เล่นกันแรงถึงขั้นยุบพรรค สะท้อนว่ามีเป้าหมายเล่นกันถึงตายไปข้างหนึ่ง ไม่ใช่แค่การต่อรองเท่านั้น

เมื่อเล่นกันแรงขนาดนี้ คุณจะถอยกันอย่างไร จะไปเจรจา จะไปฮั้วกันอย่างไร และที่สำคัญมีข้อมูลบางประการชี้ว่า ในสายอนุรักษ์นิยมน่าจะรู้กันดี การที่คุณทักษิณ กลับมาประเทศไทยได้ เพราะมีดีล กับขั้วของรัฐบาลอดีตนายกฯพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมีรัฐมนตรีในรัฐบาลนั้นเข้าไปมีบทบาท หลายเรื่อง รวมถึงการได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ เหลือ 1ปี

ทำให้คุณทักษิณอาจจะรู้สึกว่าเมื่อตัวเองดีลกับฝ่ายทหารแล้ว กับขั้วอนุรักษ์นิยมแล้วนั้น ในการบริหารประเทศ หรือการทำใดๆ จะราบรื่น แต่อาจจะเป็นการวาดฝันมากเกินไป ว่าสิ่งต่างๆนั้นจะมีคนเนรมิตมาให้ ซึ่งจริงๆแล้วอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น เพราะในดีลนั้นการที่คุณทักษิณ หรือฝ่ายการเมือง จะทำอะไรต้องทำเอง ถ้ามีปัญหาก็ต้องเคลียร์เอง  อย่าหวังว่าคนที่อยู่ข้างหลังดีลจะไปคอยช่วยทุกเรื่อง บางเรื่องก็ช่วยไม่ไหว

อย่างกรณีคุณเศรษฐา ทวีสิน  ที่ต้องหลุดจากตำแหน่งนายกฯ เพราะมีการแต่งตั้งคุณพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี จนนำมาสู่การผิดจริยธรรม มีข้อกฎหมายอยู่ ซึ่งเกินกว่าที่ฝ่ายอนุรักษ์จะช่วย  แล้วในตอนนั้นพรรคเพื่อไทยและคุณทักษิณ อาจจะชะล่าใจคิดว่าฝั่งอนุรักษ์นิยม คงเคลียร์ให้แล้ว ปรากฏว่าทำไม่ได้ ฉะนั้นคุณเศรษฐา จึงต้องหลุดจากเก้าอี้ไปก่อนกำหนด  จากเดิมเท่าที่ทราบ ในดีลคุณเศรษฐา จะเป็นนายกฯไปอย่างน้อย 2ปี ถึงจนครบเทอมรัฐบาล คือ 4ปี แล้วจากนั้นก็มีชื่อของคุณแพทองธาร อยู่ในลิสต์นายกฯต่อจากคุณเศรษฐา ซึ่งคุณแพทองธาร เองก็ได้รับไฟเขียวให้เป็นนายกฯในสมัยต่อไป ซึ่งคุณแพทองธาร ก็อยู่ในช่วงเตรียมตัวเป็นนายกฯ

แต่ปรากฏว่าคุณเศรษฐา ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯไปก่อน คุณแพทองธาร ก็ต้องมาเป็นนายกฯในขณะที่ตัวเองยังไม่พร้อม นี่คือการสะท้อนให้เห็นว่ามีความพยายามที่จะประคับประคอง ให้พรรคแดงกับน้ำเงินอยู่ไปด้วยกันได้ แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายเล่นแรงเรื่องคดีฮั้วสว. ซึ่งในที่สุดก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร

- ต้องรอติดตามสถานการณ์วันที่ 13 มิถุนายนนี้

สถานการณ์วันที่ 13 มิถุนายนนี้ จะเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญว่าคุณทักษิณ จะได้ไปต่อหรือไม่ หากศาลชี้ออกมาว่า ในลักษณะที่ไม่ได้เป็นโทษกับคุณทักษิณ โดยส่วนตัวเชื่อว่าคุณทักษิณ จะไม่หนี บวกกับที่ผ่านมาก็ยิ่งเก็บตัว ขอไปต่างประเทศ ศาลก็ยังไม่อนุญาตอีก บวกกับศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาคดีจำนำข้าวให้คุณยิ่งลักษณ์ ต้องชดใช้เงินมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท และยังเป็นวันครบรอบ 11 ปีรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 อีก เพราะฉะนั้นการที่นายกฯแพทองธาร เดินทางไปอังกฤษที่ผ่านมา จะไปเจอกับคุณยิ่งลักษณ์หรือไม่ ไม่ว่าจะขยับตัวอย่างไรก็โดน

มีแหล่งข่าวจากสายทหาร บอกว่าในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ เชื่อมั่นว่าคุณทักษิณ ไม่หนี และมั่นใจว่าผลของการวินิจฉัยใดๆออกมาจะเป็นบวก ไม่ถึงขั้นที่คุณทักษิณจะต้องถูกลงโทษ หรือหากจะเป็นในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เขาเองก็พร้อม เข้าไปอยู่ในพื้นที่จองจำของกรมราชทัณฑ์

เรื่องการตีความว่าคุณทักษิณ ต้องรับโทษหรือไม่ จะต้องมีการตีความกันอีก  การที่ไปอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ ถือว่าจะอยู่ในการนับเวลาการรับโทษในเรือนจำด้วยหรือไม่ ฝ่ายกฎหมายแต่ละฝ่ายก็ต้องทำนิติสงครามสู้กัน ซึ่งฝั่งคุณทักษิณ ก็ยังมองบอกว่าเขาจะสามารถรอดจากตรงนี้ได้ แต่สิ่งที่จะตามมา หากคุณทักษิณ ไม่ได้โดนอะไร แล้วบอกว่า ถือว่าได้รับการลงโทษแล้ว เชื่อว่าความเคลื่อนไหวจากกลุ่มต่อต้านก็จะไม่จบ เพราะไปยึดมติแพทยสภาว่าไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าคุณทักษิณ ป่วยขั้นวิกฤต

ทั้งนี้มองว่า ตลอดเวลา 2ปีที่คุณทักษิณกลับมาอยู่ในเมืองไทย เขาเองก็น่าจะเข้าไปอยู่ที่พื้นที่ของกรมราชทัณฑ์ ก็อาจจะปลอดภัยก็ได้ ที่ผ่านมาเป็นที่รู้กันว่าทำไมคุณทักษิณ จึงไม่ยอมกลับมาติดคุก เพราะกลัวเรื่องของการลอบทำร้าย หรือความไม่ปลอดภัย  แต่วันนี้เขาคิดว่าจะสามารถกุมสภาพได้ หากท้ายที่สุดแล้ว สู้ไม่ไหวหรือจำเป็นที่จะต้องกลับเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของราชทัณฑ์

รวมทั้งตอนนี้ก็ยังเป็นฝ่ายรัฐบาลอยู่ จึงไม่น่ามีอะไร ที่เป็นอันตราย อีกทั้งยังเป็นการลดกระแส หากในกรณีที่เขาจะต้องโดนโทษ แต่ท้ายที่สุดเขาเองก็ยังเชื่อว่า ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ น่าจะออกมาเป็นบวก มากกว่า แต่ก็ตามมาในประเด็นเรื่องของการปลุกกระแส ทั้งเรื่องชั้น 14 บวกกับเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อที่จะดึงคน แต่ต้องยอมรับว่า ยังไม่มีจุดพีกที่จะดึงคนให้มาลงถนนได้ หรือก้าวแรกของการนำไปสู่การรัฐประหารได้ ยังไม่เห็นสัญญาณ

         

           

           

           

             

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.