สมศักดิ์ แจงยิบปมวีโต้มติแพทยสภา ยันยึดข้อมูล กก.สอบสวน ปัดมีใบสั่ง ไม่กังวลถูกล่าชื่อถอดถอน
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์กรณีวีโต้มติแพทยสภาที่ให้ลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการพักรักษาตัวชั้น 14 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ขั้นตอนการร้องเรียน มีผู้ร้องเรียนแพทย์ทั้งสิ้น 4 คน มีอนุคณะกรรมการ 3 ชุด คือ คณะอนุกรรมการจริยธรรม คณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม รวมถึง แพทยสภา ทั้งหมดทำหน้าที่เป็นขั้นตอน ทั้งนี้ ผู้ถูกร้องเรียน 4 คน ที่ถูกพิจารณาจากอนุกรรมการจริยธรรม ประกอบด้วย 1.นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข 2.พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ 3.พล.ต.ท.นพ.โสภณรัชต์ สิงหจา และ 4.พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์
“เมื่ออนุกรรมการจริยธรรมรับพิจารณาแล้วบอกว่ามีมูล จึงส่งไปยังอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 1 ไม่มีความผิด ผู้ถูกร้องที่ 2 มีความผิดให้ว่ากล่าวตักเตือน ผู้ถูกร้องที่ 3 มีความผิดให้ภาคทัณฑ์ และผู้ถูกร้องที่ 4 ไม่มีความผิด แสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องทั้ง 4 คน ได้รับการพิจารณาโทษแล้ว ตนได้ใช้แนวทางข้อมูลส่วนใหญ่จากอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในการพิจารณา แต่ในอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม ได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมไป 3 ครั้ง แต่ไม่ได้รับรายละเอียดกลับมา จึงต้องพิจารณาตามข้อมูลที่มีอยู่ที่ได้ลงโทษไปครั้งแรก” นายสมศักดิ์กล่าว
นายสมศักดิ์กล่าวต่อว่า ในส่วน พญ.รวมทิพย์ ที่สั่งลงโทษด้วยข้อกล่าวหาว่าออกใบรับรองแพทย์ล่วงหน้าที่มีการตรวจร่างกายไว้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน แต่การส่งตัวเกิดขึ้นตอนกลางคืน บอกว่าแพทย์ไม่มีอำนาจในการส่งตัว อย่างไรก็ตาม มองว่าในการพิจารณาเรื่อง ไม่ได้มีการพิจารณากฎหมายการส่งตัวของราชทัณฑ์ประกอบด้วย ซึ่งการส่งตัวนั้นเป็นอำนาจของผู้บัญชาการเรือนจำ จึงเห็นว่าเมื่อไม่นำเรื่องนี้มาพิจารณาอย่างครบถ้วน จึงเห็นสมควรว่า ต้องยกประโยชน์ให้ผู้ถูกร้อง
นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า ส่วนผู้ถูกร้องที่ 3 ที่บอกว่าให้สัมภาษณ์ 2 ครั้ง แต่ไม่มีการพูดคำว่าผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤต ตนพยายามหาข้อมูลก็ไม่พบ มีเพียงสัมภาษณ์ว่าอาการหนัก น่าเป็นห่วง และการสัมภาษณ์นั้นไม่ได้เตรียมตัว เป็นการสัมภาษณ์แบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งผู้ถูกร้องเป็นนายแพทย์ใหญ่ได้รับรายงานข้อมูลอาการตอนตรวจ กับตอนสัมภาษณ์แตกต่างกัน แต่ไม่มีพูดถึงคำว่าวิกฤต ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่ได้รับข้อมูลจากอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมของแพทยสภา จึงพิจารณาตามที่มี ดังนั้น เห็นว่าควรยกประโยชน์ผู้ถูกร้อง
“ขณะที่ผู้ถูกร้องที่ 4 ที่เขียนความเห็นแพทย์นั้น เขียนเพียงว่าการรักษายังไม่เสร็จสิ้น ให้รักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็น รพ.อะไร ในส่วนนี้เป็นดุลพินิจของแต่ละคน ผู้ถูกร้องรับทราบว่าผู้ป่วยมีโรคประจำตัว 14 โรค รู้ถึงความซับซ้อนการรักษา อาจแตกต่างจากราชวิทยาลัย ที่รับรู้เพียงบางโรค การแสดงความเห็นแพทย์ จึงไม่อาจเหมือนกันทั้งหมด ประกอบกับคณะอนุกรรมการสอบฯ สอบสวนแล้วเห็นว่าไม่มีความผิด จึงเห็นตามความเห็นของอนุกรรมการสอบสวนว่าไม่มีความผิด เพราะเสียงส่วนใหญ่ก็ให้เขาไม่ผิดแล้ว จึงเห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้” นายสมศักดิ์กล่าว
เมื่อถามว่า จุดที่วีโต้ไปคือการเพิ่มในส่วนจริยธรรมใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อคณะกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมมีมติออกมา คณะแพทยสภาประชุมหลังจากนั้น ซึ่งตนไม่มีรายละเอียด แต่ในส่วนคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน ทั้งนี้ กรณีนี้มีข้อมูลเดียวกัน แต่มาตรฐานการลงโทษมีความแตกต่าง และมีการสร้างมาตรฐานใหม่ คิดว่าหากปล่อยให้มีมาตรฐานในการลงโทษแพทย์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ จะทำให้เดือดร้อนกันไปหมด ตนไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น เว้นแต่ว่าแนวทางเหล่านี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นเหมือนเดิม ไม่อยากให้มีมาตรฐานใหม่
เมื่อถามว่า หากวันที่ 12 มิถุนายน แพทยสภายึดมติเดิม จะทำให้รัฐมนตรีหมดความน่าเชื่อถือหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ความน่าเชื่อถือไม่ได้อยู่ตรงนี้ เพราะไม่ได้พิจารณาโดยลำพัง มีนักกฎหมาย และมีแนวทางปฏิบัติแพทยสภา ที่มีแพทย์เป็นที่ปรึกษาช่วยกันดู หากดูแล้วส่วนไหนที่ก้ำกึ่ง ก็คิดว่าสามารถยกประโยชน์ให้กับผู้ถูกกร้องได้ ดังนั้น เมื่อน้ำหนักออกมาเช่นนี้ ก็ไม่สามารถดันทุลังไปทำโทษได้ เพราะไม่ใช่นิสัยตน
เมื่อถามกรณีที่แพทย์รวมตัวกันเพื่อที่จะมาถอดถอนออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ สธ.นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่น่าเป็นห่วง ที่มองว่าเป็นการเปิดศึกกับแพทยสภานั้น ไม่จริง แพทย์ทั่วประเทศหากอยู่ในวิชาชีพ จะรู้ว่าตนออกมาปกป้องในส่วนของอัตราโทษที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าไปเพิ่มอัตราโทษ ตนทำถูกต้องแล้ว ไม่คิดว่าเป็นการต่อสู้กับแพทย์ทั่วประเทศ
เมื่อถามย้ำว่า สรุปแล้วมีใบสั่งหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่มี จะมาสั่งได้อย่างไร ไม่ได้ทำเพื่อเอื้อคดีนายทักษิณ
รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ กรรมการแพทยสภา กล่าวว่า เลขาธิการแพทยสภาได้รับหนังสือตอบกลับจากสภานายกพิเศษ จะต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภาในวันที่ 12 มิถุนายนนี้ กรณีนี้ยับยั้ง คณะกรรมการแพทยสภาจะต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุม ถ้าจะยืนยันตามมติเดิมที่ออกไปเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ต้องลงคะแนนเสียง 2 ใน 3 ของคณะกรรมการทั้งหมด ซึ่งเดิมมีทั้งหมด 70 คน แต่ในกรณีนี้จะมี 1 คน ที่เป็นผู้มีส่วนได้เสีย คือ นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ที่เป็นผู้ถูกกล่าวหา จะต้องงดออกเสียง ดังนั้น การประชุมวันที่ 12 มิถุนายนนี้ เสียงสูงสุดจะอยู่ที่ 69 เสียง ล่าสุดคณะกรรมการ หรือผู้แทนทุกท่านได้ตอบกลับหนังสือเชิญประชุมว่าจะเข้าร่วมประชุม ฉะนั้น จะเป็นเสียง 2 ใน 3 จากคณะกรรมการ 69 คน
“หากมีคนอื่นที่ถูกคัดค้าน หรือสรุปแล้วว่าคนนี้ไม่ควรโหวต จะต้องงดออกเสียง เช่น ถูกคัดค้าน 5 คน เสียงทั้งหมดก็จะเป็น 65 คน จาก 70 คน ก็จะนับ 2 ใน 3 ของ 65 คน” รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี กล่าว
เมื่อถามว่า การลงคะแนนเสียงจะเป็นการให้ความเห็นต่อผู้ถูกกล่าวโทษรายบุคคลหรือไม่ รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี กล่าวว่า ไม่ใช่ เพราะการโหวตเสียง 2 ใน 3 เป็นการโหวตยืนตามมติเดิมที่แพทยสภาที่ได้มีความเห็นไปเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม เป็นการโหวตมัดเดียว ถ้ายืนมติเสียง 2 ใน 3 ได้ ผู้ที่ถูกกล่าวหา หรือผู้ที่เดือดร้อน ก็ต้องไปร้องต่อศาลปกครองต่อไป
เมื่อถามอีกว่า ตอนนี้มีกระบวนการดิสเครดิตแพทยสภาด้วยการปล่อยภาพแชตกลุ่มไลน์ กังวลหรือไม่ รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี กล่าวว่า ตามที่อุปนายกแพทยสภาได้ยืนยันว่า คณะกรรมการแพทยสภาพิจารณาตามเอกสาร ตามหลักฐาน ส่วนเรื่องอื่นนั้น คิดว่าผู้ใหญ่คงไม่ได้ไปวุ่นวายอะไร ก็ดูตามเนื้อผ้า ทำตามหน้าที่