เมื่อวันที่ 31 พ.ค.68 เวลา 22.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ชัยพฤกษ์ ได้รับแจ้งเหตุรถกระบะ 4 ประตู เสียหลักพลิกคว่ำหงายท้อง ชนเสาไฟฟ้าบริเวณเกาะกลางถนน มีผู้เสียชีวิตเป็นชาย 1 ราย เหตุเกิดบริเวณถนนชัยพฤกษ์ (ขาเข้า) มุ่งหน้าปากเกร็ด ต.บางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จึงพร้อมด้วยแพทย์จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูรีบตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุบริเวณเกาะกลางถนน พบรถกระบะ 4 ประตู ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีขาว ทะเบียน กทม. เสียหลักพลิกคว่ำหงายท้อง ชนเสาไฟฟ้าบริเวณเกาะกลางถนน ผู้เสียชีวิตเป็นชาย 1 ราย ทราบชื่อคือนายภากรณ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี อาชีพผู้ช่วย ผจก.ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัทฯ รปภ.แห่งหนึ่ง เสียชีวิตติดอยู่ภายในซากรถ สวมเสื้อโปโลสีเขียว ใส่เสื้อกั๊กสีดำด้านนอก สวมกางเกงขายาวสีกรมท่า สภาพศพพบบาดแผลบริเวณใบหน้า มีเลือดออก เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงนำอุปกรณ์ตัดถ่างมาดำเนินการช่วยเหลือ ใช้เวลากว่า 30 นาที สามารถนำร่างผู้เสียชีวิตที่ติดคาอยู่ภายในรถออกมาได้

นายวันเฉลิม อายุ 32 ปี เจ้าของร้านต้มเลือดหมูที่เห็นเหตุการณ์ กล่าวว่า ตนเห็นผู้เสียชีวิตขับรถลงมาจากสะพานข้าม 345 ด้วยความเร็ว พอใกล้จุดเกิดเหตุคาดว่าจะเติมความเร็วขึ้น ก่อนจะไถลไปชนต้นไม้ เสาไฟฟ้าพลิกคว่ำหงายท้อง ซึ่งขณะเกิดเหตุเสียงดังมากลูกค้าในร้านและคนบริเวณใกล้เคียงต่างวิ่งไปมุงดูและไปช่วยกันเปิดประตูรถแต่เปิดไม่ออกเนื่องจากรถพลิกคว่ำพังยับ คาดว่าสาเหตุมาจากที่ผู้เสียชีวิตขับรถด้วยความเร็วและถนนลื่นเพราะขณะเกิดเหตุมีฝนตกอยู่

ด้านนายทูน อายุ 46 ปี พลเมืองดีที่ช่วยจอดรถปิดทาง กล่าวว่า ตนเห็นเสาไฟล้มพาดกลางถนนอยู่เลนขวา จึงรีบจอดรถแล้วเปิดไฟฉุกเฉินขอทางป้องกันอุบัติเหตุซ้ำ ซึ่งตนไม่เห็นเหตุการณ์แต่แรกคาดว่าร้านก๋วยเตี๋ยวจะพบเห็นเหตุการณ์มากกว่า ได้ยินเจ้าหน้าที่กู้ภัยพูดคุยว่าคนขับเสียชีวิตติดอยู่ภายในรถ สาเหตุคาดว่ามาจากฝนตกและถนนลื่น ทำให้เกิดอุบัติเหตุดังกล่าว

จากการสอบถามญาติผู้เสียชีวิตทราบว่า ผู้เสียชีวิตเพิ่งขับรถออกจากบ้านตรงหมู่บ้านลภาวัล 21 ประมาณ 15-20 นาที และกำลังจะไปบริษัทฯของพ่อ แถวหมู่บ้านลานทอง เพื่อกลับไปพักผ่อน ปกติผู้เสียชีวิตจะพักอยู่ที่ทำงาน ซึ่งก่อนออกจากบ้านมาไม่ได้กินข้าวหรือดื่มอะไรมา คาดว่าผู้เสียชีวิตขับรถเร็ว และถนนลื่นจึงเป็นสาเหตุ

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างตรวจสอบพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุและจะตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป