หลังจากที่รัฐบาลตัดสินใจที่จะ “ชะลอ” โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet เฟส 3 ออกไปก่อน และนำเงินจาก “งบฯกลาง” รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจที่เหลืออยู่เป็นจำนวน 157,265.08 ล้านบาท เปลี่ยนมาใช้ในโครงการตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวแทน โดยโครงการนี้จะเน้นการลงทุน “มากกว่า” การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ในอันที่จะรับมือกับนโยบายการตั้งกำแพงภาษีเพื่อลดการขาดดุลของสหรัฐ

ดังนั้น โครงการตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นวงเงินจากงบฯกลาง ก้อนสุดท้ายสำหรับปีงบประมาณ 2568 จึงถูกจัดสรรให้กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเศรษฐกิจระยะยาว กับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ที่จะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนใน 4 ด้าน ได้แก่

1) การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและโทรคมนาคมประกอบไปด้วย โครงการป้องกันอุทกภัยในช่วงฤดูฝนและเก็บกักน้ำในช่วงฤดูแล้ง การกระจายน้ำด้านการเกษตร และปรับปรุงระบบประปา

ด้านคมนาคม เงินลงทุนจะถูกใช้ไปในโครงการแก้ปัญหาจราจร การเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่ง แก้ปัญหาจุดตัดรถไฟและถนนเสมอระดับ การพัฒนาถนนเชื่อมเมืองรอง

2) โครงการด้านการท่องเที่ยว จะทำการปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว สนามกีฬา สิ่งอำนวยความสะดวก การติดตั้งระบบ CCTV ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยว และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวเมืองรอง

3) การลดผลกระทบจากการส่งออก ในภาคเกษตรสนับสนุนให้เกษตรกร-SMEs ใช้เทคโนโลยีปรับเปลี่ยนพื้นที่การเกษตรให้เหมาะสม การลดผลกระทบด้านแรงงาน โครงการสนับสนุนสินเชื่อให้กับผู้ส่งออก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และ 4) โครงการเศรษฐกิจชุมชน ด้วยการให้เงินสนับสนุนกองทุนหมู่บ้าน (SML) เป็นแหล่งเงินให้กับเศรษฐกิจฐานราก รวมไปถึงโครงการพัฒนาทุนมนุษย์ด้านการศึกษา

ทว่าการดำเนินโครงการตามแผนงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจเหล่านี้กลับมีการดำเนินโครงการในลักษณะเร่งรีบ ให้เวลาหน่วยงาน/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอโครงการและคำของบประมาณอย่างกระชั้นชิด จนกลายเป็นความกังวลถึงการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งส่วนใหญ่เน้นไปที่การจ้างงานในภาคการก่อสร้างในชนบทเป็นหลัก จึงควรที่ผู้พิจารณาโครงการจะต้องมีความรอบคอบในการอนุมัติงบประมาณตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ เพื่อให้งบฯก้อนสุดท้ายถูกใช้ไปเพื่อการปรับโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง