สมาพันธ์เอสเอ็มอีชี้พิษสงครามการค้าโดนถ้วนหน้า ห่วง SMEs เจอปัญหาสภาพคล่องสะดุด อาจถึงขั้นปิดกิจการ แนะทางรอดต้องเข้ามาตรการรัฐ รับทุกความช่วยเหลือ กัดฟันลงทุนเปลี่ยนเครื่องจักร ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อรับมือการแข่งขัน วอนรัฐเลียนแบบโมเดลจีน ปั้นยักษ์น้อย 10,000 รายให้เป็นซัพพลายเชนอุตฯ AI-EV-พลังงานสะอาด
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจ สงครามการค้า นโยบายทรัมป์ 2.0 ในขณะนี้ ไม่ได้ส่งผลแค่กับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ส่งออกเท่านั้น แต่ยังดึงผู้ประกอบการทุกระดับได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้เกิดการชะลอการลงทุน และบางรายอาจเจอปัญหาการเงิน ส่งผลต่อการปิดกิจการ ซึ่งสมาพันธ์เองไม่ได้มีหน้าที่เพียงสะท้อนปัญหาของ SMEs และรอให้ภาครัฐยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเท่านั้น แต่สมาพันธ์ยังได้พยายามส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้ประกอบการ เพื่อให้หาแนวทางรับมือและปรับตัวให้เร็ว โดยเฉพาะการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทุกวัน
อย่างไรก็ตาม ทางรอดที่ควรทำ คือ SMEs ต้องใช้สิทธิเข้ารับมาตรการของรัฐให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านแหล่งเงินทุน หรือมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น มาตรการพิเศษจากบีโอไอที่ส่งเสริมให้ SMEs ปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร การใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัล การประหยัดพลังงาน การยกระดับสู่มาตรฐาน เพื่อความยั่งยืนในระดับสากล รวมทั้งการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ SMEs ไทย จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ปี ในวงเงินไม่เกิน 50% ของเงินลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ปรับเพิ่มขึ้นเป็นยกเว้นภาษีเงินได้ 5 ปี ในวงเงิน 100% ที่มุ่งเป้าไปยังกลุ่ม SMEs รายเก่าที่ลงทุนอยู่แล้ว แต่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อการดำเนินธุรกิจให้มีโอกาสในการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งหากย้อนไปในปี 2560-2565 ระยะเวลา 6 ปี มาตรการ SMEs มีผู้ได้รับการสนับสนุนรวม 353 ราย มูลค่า 12,926 ล้านบาท
ทั้งนี้ รัฐเองก็จำเป็นที่ต้องเชื่อมโยงกองทุนเพิ่มขีดความสามารถให้ SMEs ได้ใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้น เปิดโอกาสให้รายเล็กเข้าถึงมาตรฐานระดับสากล ทั้งด้านคุณภาพและสิ่งแวดล้อม การสร้างกลไกผู้ให้บริการในแต่ละด้านที่มีมาตรการส่งเสริม (SMEs Service Providers) เพื่อให้เกิดการจับคู่พันธมิตรในการให้บริการด้านพลังงานสะอาด เทคโนโลยีดิจิทัล AI เครื่องจักรสมัยใหม่ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม บีโอไอควรลดข้อจำกัดในการให้สิทธิประโยชน์ เนื่องจากที่ผ่านมาเกณฑ์และนิยามประเภทของธุรกิจกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมมาตรการต้องใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ควรอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมในการกำหนดและให้คำแนะนำแบบเบ็ดเสร็จ โดยมีช่องทางที่ชัดเจน อีกทั้งงบประมาณในการสนับสนุน SMEs ที่ต้องเพียงพอ
นอกจากนี้ยังควรลดอุปสรรค เรื่องของการเตรียมเอกสารและขั้นตอนการประเมินที่มีความยุ่งยากซับซ้อน รายละเอียดค่อนข้างมาก รวมทั้งระยะเวลาพิจารณาอนุมัติให้บัตรส่งเสริมที่ใช้ระยะเวลานาน ควรใช้ระบบ Blockchain Technology เพื่อยกระดับการบริการให้สะดวกรวดเร็ว และติดตามได้อย่างโปร่งใส ควรมีที่ปรึกษา พี่เลี้ยงให้คำแนะนำในการปรับปรุงกิจการและรับการส่งเสริม โดยอาจร่วมมือกับสำนักงานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (Regional Science Park) ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค 11 ศูนย์ภายใต้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หน่วยบ่มเพาะสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ เพื่อสร้างกลไกที่ปรึกษา-พี่เลี้ยงให้ SMEs สามารถเพิ่มการเข้าถึงมาตรการ และสามารถนำเงินลงทุนไปขยายผลให้เกิดกระบวนการยกระดับขีดความสามารถของธุรกิจอย่างเป็นระบบ มีระบบติดตามประเมินผล และส่งต่อตามความต้องการจริง
นอกจากนี้ มาตรการ SMEs ควรพิจารณาโมเดล Scale up ของประเทศจีนที่ขับเคลื่อน Little Giants 2025 โดยมาจากการตั้งเป้าหมายสนับสนุนส่งเสริม SMEs ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั่วประเทศ 1,000,000 ราย สร้างยักษ์น้อย SMEs 10,000 ราย เพื่อส่งต่อเป็น Supply Chain ให้กับ 3 อุตสาหกรรมหลัก คือ AI, EV และ Clean Energy ซึ่งประสบผลสำเร็จไปตั้งแต่ปี 2567 จำนวนราว 15,000 ราย
รวมถึงพิจารณาทบทวน Micro SMEs BOI เพื่อเป็นนวัตกรรมนโยบายลดความเหลื่อมล้ำในการส่งเสริมสนับสนุนการลงทุนให้ SMEs รายย่อยที่มีการลงทุน 50,000-500,000 บาท ในการจูงใจให้ SMEs กลุ่มนี้จดทะเบียนพาณิชย์ ปรับปรุงธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น บ่มเพาะความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการเข้าระบบภาษี ในกลุ่มธุรกิจร้านค้าปลีก ร้านค้าส่ง ร้านอาหาร ภัตตาคาร ธุรกิจเกษตร อาทิ POS Inventory Management System AI Hardware IOT Solar Rooftop ปรับปรุงหน้าร้านให้ทันสมัย เป็นต้น ซึ่งจะสามารถเพิ่มฐานภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศ แต่ให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้ เพื่อสร้างแรงจูงใจเข้าระบบ
“สำหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้ SMEs จากรัฐจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มสัดส่วน GDP SMEs และ GDP ประเทศ ด้วยการเพิ่มโอกาสปรับเปลี่ยนธุรกิจมีศักยภาพที่ดีขึ้น เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน SMEs ในการขยายเครือข่ายซัพพลายเชน ทั้งตลาดในและต่างประเทศเราควรเป็น BCG Hub และ Creative Hub ตามเป้าหมายที่ต้องการ ขยายโอกาสให้ SMEs เข้าถึงได้ ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลแบบเป็นรูปธรรมอย่างเร่งด่วน ซึ่ง SMEs พร้อมร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตไปกับมาตรการส่งเสริมที่ดี และรัฐต้องให้คุณค่ากับ SMEs ไทย ไม่น้อยไปกว่า FDI”