กกร.ห่วงศก.ไทย หลังพบแรงส่งแผ่ว ปรับลดจีดีพี68 เหลือ 1.5-2% คาดครึ่งหลังปีนี้โตไม่ถึง 1% จากความกังวลส่งออกติดลบ 0.5-3% จี้รัฐเร่งเจรจาภาษีทรัมป์ก่อนหมดระยะผ่อนปรน
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าที่ประชุม กกร. ได้มีการประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ โดยคาดว่าจะเติบโตได้ที่ 1.5-2% ลดลงจากเดิมคาดไว้ที่ 2-2.2% ตามการส่งออกสินค้าที่คาดว่าจะติดลบ 0.5% ถึงโตได้ 0.3% ลดลงจากเดิมคาดที่ 0.3-0.9% รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง ขณะที่เงินเฟ้อคงเดิมคาดอยู่ที่ 0.5-1%
“การที่เศรษฐกิจจะเติบโตได้ที่ 2.0% จำเป็นต้องมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเป้า และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐให้ได้อย่างน้อย 70% ของวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท”
นายผยงกล่าวว่า นอกจากนี้ยังต้องเร่งขยายตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long-haul) ซึ่งตั้งแต่ต้นปีขยายตัวราว 17.0% เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวจากจีนที่ลดลงและสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว
ทั้งนี้ แม้คาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจจะขยายตัวใกล้เคียง 3% เทียบกับปีก่อน แต่ครึ่งหลังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไม่ถึง 1% เทียบกับปีก่อน โดยขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐและไทย เทียบกับประเทศคู่แข่ง ตลอดจนแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อธุรกิจและการจ้างงาน
ดังนั้น มาตรการภาครัฐที่ปัจจุบันเป็นมาตรการระยะสั้น จึงควรมองต่อเนื่องทั้งมาตรการระยะกลางและระยะยาวเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่อเนื่อง อีกทั้งควรมีความยืดหยุ่นและสอดรับกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออก ตลอดจนป้องกันการไหลบ่าของสินค้านำเข้าผ่านการควบคุมมาตรฐานและตรวจสอบสินค้าผ่านด่านอย่างเข้มงวด
นายผยงกล่าวว่า ขณะเดียวกัน ต้องป้องกันการสวมสิทธิ์เพื่อส่งออก และสอดรับกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออก ตลอดจนป้องกันการไหลบ่าของสินค้านำเข้าผ่านการควบคุมมาตรฐานและตรวจสอบสินค้าผ่านด่านอย่างเข้มงวด รวมทั้งป้องกันการสวมสิทธิ์เพื่อส่งออก
นายผยง กล่าวว่า ที่ประชุม กกร. มีความกังวลประเด็นการสวมสิทธิ์การส่งออก และการ re-export โดยใช้ local content ต่ำ ซึ่งไม่ได้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ แม้ว่าการส่งออกจะขยายตัวได้สูง แต่ก็มีการนำเข้าที่สูง ขณะที่ภาคการผลิต การบริโภคในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชนที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม อีกทั้ง ประเทศไทยยังขาดการเชื่อมโยงด้านการนำเข้ากับส่งออก ที่ทำให้เข้าใจภาพเศรษฐกิจในเชิงลึก เพื่อให้สามารถติดตามและแก้ปัญหา re-export ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
กกร.ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาอัตราภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันกรอบเวลาในการเจรจายังไม่ชัดเจน และมีความเสี่ยงสูง โดยเชื่อมโยงกับประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจรจา โดยระยะเวลาผ่อนปรนภาษี 90 วันของสหรัฐ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 8 ก.ค.2568
นายผยกล่าวว่า นอกจากี้ยังกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว มาอยู่ในช่วง 32.5-32.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยแข็งค่ามากกว่าประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ และจีน ในเดือนที่ผ่านมา ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าระดับที่ธุรกิจแข่งขันได้
อย่างไรก็ตาม กกร. มองว่าควรให้ความสำคัญกับการดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งค่าหรือผันผวนเร็วจนเกินไป และการสื่อสารเชิงรุกเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถรับรู้และปรับตัวได้ทันการณ์ อีกทั้งยังจำเป็นต้องมีการส่งผ่านประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็ง เช่นต้นทุนนำเข้าสินค้าพลังงาน และวัตถุดิบในภาคเกษตร ที่ลดลงไปยังภาคการผลิตและภาคประชาชนให้ได้อย่างเป็นระบบ