อุตสาหกรรมความงามอาเซียนคึกคัก “อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์” เดินหน้าจัดงาน “Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025” ครั้งที่ 4 ชูเวทีการค้าระดับ B2B เชื่อมผู้ผลิต-นักลงทุน-ผู้นำเข้าแบรนด์ดังจากทั่วโลก พร้อมเปิดตัวเทรนด์ฮิต “ธรรมชาติ-เฉพาะบุคคล-ยั่งยืน” รับดีมานด์ใหม่ทั้งกลุ่มผู้ชายและผู้สูงวัย มั่นใจมีผู้เข้าร่วมกว่า 17,000 ราย ขณะที่ด้านผู้เชี่ยวชาญชี้แบรนด์ที่เข้าใจอินไซต์ผู้บริโภคเท่านั้นจึงอยู่รอดในสมรภูมิแข่งขันสูง
นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเป็นศูนย์กลางของตลาดความงามในอาเซียน ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่โดดเด่นถึง 11% ซึ่งอยู่ในอันดับต้นของภูมิภาคและเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ตลาดความงามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีมูลค่าสูงถึง 34,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีที่ผ่านมา
“ประเทศไทยมีศักยภาพมากกว่าแค่ตลาดที่น่าสนใจ ทำเลที่ตั้งซึ่งเชื่อมต่อภูมิภาคได้สะดวก บวกกับโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ทำให้เหมาะอย่างยิ่งในการเป็นเจ้าภาพจัดเวทีการค้าความงามระดับ B2B อย่าง Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 ที่จะเชื่อมโยงผู้ประกอบการระดับโลก นักลงทุน ผู้นำเข้าแบรนด์ต่างประเทศและผู้ซื้อรายสำคัญ เปิดโอกาสให้เกิดการพบปะแชร์เทรนด์ แลกเปลี่ยนความรู้ และเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งล้วนเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมความงามอาเซียนสู่ระดับโลก”
ซึ่งงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 ที่จะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 จะเป็นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง BolognaFiere, Informa Markets และ Shanghai Baiwen Exhibition Co., Ltd. ซึ่งภายในงานนี้จะมีการนำเสนอเทรนด์ความงามระดับโลกครบวงจร ตั้งแต่วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ออร์แกนิก อาหารเสริม บริการ OEM/ODM บรรจุภัณฑ์ จนถึงเทคโนโลยีการผลิต พร้อมพาวิลเลียนจากประเทศผู้นำอย่างจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอิตาลี
โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานมากกว่า 17,000 ราย จากกว่า 20 ประเทศ อาทิ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ อิตาลี และสหรัฐอเมริกา และจะมีเงินเงินสะพัดภายในงานไม่ต่ำกว่าหลักพันล้านบาท จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่น่าพอใจแม้ในภาวะเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัว โดยมุ่งเน้นการค้าขายที่ขยายออกไปนอกประเทศ สอดรับกับภาพรวมตลาดความงามอาเซียนที่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีพลวัตสูง
ส่วนด้านนางเกศมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย กล่าวว่า ตลาดความงามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2024 ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 34,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 16% ในระหว่างปี 2024-2028 จึงนับได้ว่าเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีอุตสาหกรรมความงามและเครื่องสำอางเติบโตเร็วที่สุดในโลก
โดยประเทศผู้นำด้านดีมานด์ในภูมิภาค ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากผู้บริโภคในประเทศและนักท่องเที่ยว โดยเทรนด์ในอนาคตจะเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เฉพาะเจาะจงตามสีผิวและสภาพอากาศของท้องถิ่น รวมถึงผลิตภัณฑ์แนวธรรมชาติ ออร์แกนิก ที่เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 9.2% ตามกระแสความต้องการผลิตภัณฑ์แบบคลีน วีแกน ปลอดสารพิษ และไม่ทดลองในสัตว์
ขณะที่กลุ่มสินค้ามาแรงที่น่าจับตามอง ได้แก่ กลุ่มดูแลผู้ชาย (men’s grooming) ที่เริ่มมีพฤติกรรมการดูแลผิวและผมมากขึ้น รวมถึงกลุ่ม Silver Beauty สำหรับผู้สูงอายุ ที่มองหาผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอย อ่อนโยน และใช้งานง่าย โดยคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า (2025-2035) อุตสาหกรรมความงามอาเซียนจะยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นความยั่งยืน
“ดังนั้น การจัดงาน CCA 2025 ครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญของทั้งแบรนด์ท้องถิ่นและผู้ผลิต OEM/ODM ในไทย ที่สามารถนำจุดแข็งด้านวัตถุดิบ สมุนไพร และกระบวนการผลิตในราคาที่แข่งขันได้ ไปต่อยอดเพื่อส่งออกสู่ตลาดหลักทั่วโลก”
ขณะที่นายชีวานนท์ ปิยะพิทักษ์สกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประเทศไทยและมาเลเซีย Kantar Worldpanel กล่าวเสริมถึงเรื่องเทรนด์ของผู้บริโภคว่า ผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงผู้ซื้อ แต่เป็นผู้กำหนดทิศทางการตลาด โดยกลุ่มสินค้าความงามและของใช้ส่วนบุคคล (Beauty & Personal Care) ถือเป็นหนึ่งในสินค้าหลักของประเทศไทยในกลุ่ม FMCG
โดยในปี 2024 หมวดความงาม (สกินแคร์และเมคอัพ) เติบโตอย่างโดดเด่นถึง 12% ขณะที่เมคอัพโต 11% ทั้งนี้ มีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือการที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพผิวที่ดี และยินดีจ่ายเงินให้กับสกินแคร์มากกว่าเมคอัพ สะท้อนจากแบรนด์ต่างๆ ที่เริ่มทำตลาดพรีเมียมมากขึ้น
ขณะที่กลุ่มบอดี้แคร์และแฮร์แคร์มีการเติบโตลดลง ดังนั้นแบรนด์จึงต้องปรับกลยุทธ์โดยเน้นการบำรุงที่ล้ำลึกและสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่มีแนวโน้มเปลี่ยนแบรนด์บ่อยขึ้นและใช้หลายแบรนด์ร่วมกัน จากปัจจุบันสามารถเข้าถึงแบรนด์ได้ง่ายขึ้นผ่านช่องทางออนไลน์
ดังนั้น แบรนด์ไม่จำเป็นต้องอยู่ทุกที่ แต่ควรจะอยู่ให้ถูกที่ เพราะจากผลวิจัยพบว่า 95% ของนวัตกรรมในตลาดความงามล้มเหลว เนื่องจากไม่สามารถตอบโจทย์ Pain Point ของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง ดังนั้น แบรนด์ที่มีข้อมูลเชิงลึก (Insight) และเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคอย่างถ่องแท้จึงจะประสบความสำเร็จในตลาดที่มีการแข่งขันสูงนี้
สำหรับผู้ประกอบการ โรงงาน ผู้ผลิตที่อยู่ในอุตสาหกรรมความงาม และผู้ที่สนใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ความงาม อย่าพลาดโอกาสสำคัญของธุรกิจคุณ ที่ Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 ระหว่างวันที่ 25-27 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์